*STYLE TYPE="text/css"> p {align=justify} BODY{cursor: url(http://ourworld.cs.com/dollielove6/uc4.cur);} a {cursor: url(http://ourworld.cs.com/dollielove6/uc4.cur);} */STYLE> Bakery Idea From me :): พฤษภาคม 2005

Bakery Idea From me :)

วันพุธ, พฤษภาคม 25, 2548

อารมณ์ "เฉิ่ม" อ่ะ

อารมณ์เซ็งๆ เลยนึกอยากดูหนัง ไปดูคนเดียวก็ได้ ไม่รอเพื่อนแร้ววว

วันนี้ได้มีโอกาสไปดูหนังเรื่องเฉิ่ม เอ่อ..เฉิ่มจริงๆ ด้วยเนอะ เพราะเขาออนแอร์มานานจนจะออกโรงแล้ว เพิ่งจะได้ไปดู
เงินมีอยู่ในกระเป๋าทั้งหมด 120 ยังกล้าก้าวเท้าออกจากบ้านไปดูหนัง...
โอ๊ย คนเรา
ทำไมใจกล้าเช่นนี้ ค่ารถเมลสาย 146 ตอนไป 5 บาท ดูหนังอีก 100 ขากลับเหลืออีก 10 บาท ...
ชีวิตหนอ .......ถ้าเหยียบถังกะปิใครเขาแตกคงไม่ได้กลับบ้าน 5555

……………………………………………


ไม่ได้รู้สึกเสียดายเงิน 100 บาทกะหนังเรื่องนี้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าหนังดีนะ ที่บอกว่าไม่รู้สึกเสียดายเงินเพราะวันนี้ ตั้งใจจะออกไปนั่งเฉยๆ แล้วปล่อยอารมณ์กับหนังเรื่องอะไรก็ได้สักเรื่องหนึ่งพอแล้ว (เป็นอารมณ์ดูหนังแบบหนึ่ง ) ซึ่งหากพิจารณาตามวัตถุประสงค์ของก้อยแล้ว ..ใช่ มันตอบโจทย์ได้บรรลุผล ; )

หนังเรื่องนี้เปิดฉากได้ดี

1. กล้องเริ่มด้วยมุมมองของแท็กซี่คนหนึ่ง ชื่อ สมบัติ ดีพร้อม ( หรือ พี่บัติ หรือ..หม่ำ จ๊กมกน่ะแหละ ) มีอุปนิสัยและตัวตนที่ผู้สร้าง พยายามทำให้เป็นตัวแทนของคนขับแท็กซี่ที่มาจากต่างจังหวัดทั่วไป คือ ชอบฟังวิทยุ AM เพลงเก่าๆ รายการละครวิทยุ ( แต่จะขัดกับความเป็นจริงในความเห็นของเรา ตรงที่ AM แต่ดันชอบสุนทราภรณ์ แทนที่จะชอบลูกทุ่งหมอลำ และมันขัดกับ character ของตัวเอกเรื่องด้วย เพราะเราอาจติดภาพเดิม คือ ความเป็นคนอีสานของหม่ำ มากกว่า ) สมบัติทำงานหาเช้ากินค่ำ เช่าบ้านอยู่แฟลต ฝากท้องไว้กับร้านข้าวต้มเลือดหมูเจ้าประจำไม่เคยเปลี่ยน


1.1 ฉากแรกที่คิดว่าขัดในเรื่องของมุมกล้อง ก็คือ เปิดด้วยมุมมองของแท็กซี่ ที่เราคิดว่าผู้สร้างพยามจะเสนอให้เรารู้สึกถึงกิจวัตรประจำวันที่แท็กซี่ต้องเจอ กล้องแพนตามสายตาของคนขับรถ แต่หากพิจารณาดูดีๆ จะพบว่า ตำแหน่งของกล้องมันอยู่ที่ข้างคนขับอ่ะ เลยดูไม่สมจริง เหมือนกับกล้องนี้จะทำหน้าที่ผู้โดยสารที่นั่งข้างคนขับเสียมากกว่า เพราะว่าเราจะเห็นไฟแดงๆ ที่เขียนว่า ( ว่าง ) และใบอนุญาตขับรถของแท็กซี่อยู่ตรงกลางมากกว่าทางซ้าย เราว่าเขาไม่ละเอียดตรงนี้นะ และบังเอิญฉากนี้มัน loop เยอะด้วยวนไปวนมาช่วงแรกจนทำให้รู้สึกได้ไม่ยากเลย


2.นำเสนอนางเอกของเรื่อง คือ นวล ( นุ่น วรนุช ) ในมุมมองที่มีความคล้ายกันกับพระเอก แง่มุมของการประกอบอาชีพกลางคืน ชีวิตของผู้หญิงกลางคืนที่ต้องคอยให้บริการ ส่งเงินให้ทางบ้านโดยเอาตัวเข้าแลก ภายในเรื่องแสดงให้เห็นถึงความลำบากซ้ำซากบนหน้าที่ที่ตัวเอกทั้ง 2 ได้เผชิญ คือ คนขับแท็กซี่ที่ต้องคอยรองรับอารมณ์ผู้โดยสาร การทำความสะอาดรถ ผู้หญิงกลางคืนที่ต้องเป็นที่รองรับอารมณ์ของแขกทุกประเภท และสิ่งที่คล้ายกันอีกอย่าง คือ การต้องพา “ ลูกค้า ” ของทั้งคู่ไปสู่จุดหมายแต่ไม่รู้ว่าจุดหมายของตนเองอยู่ที่ใด....


3.เรื่องความเป็นตัวตนของตัวเอกในเรื่อง หากพิจารณาจากสปอต โฆษณา โปสเตอร์ที่เห็นแล้วจะพบว่า ทางการตลาดเน้นการนำที่ conflict ตัวตนของตัวแสดงหลัก คือ หม่ำ ความเป็นตลก กับนุ่น ความเป็นนางเอก
จะพบข้อความ “ หม่ำจะรักนุ่นจนคุณน้ำตาซึม ” ถูกใช้ในการประชาสัมพันธ์ เพราะสังเกตุจะเห็นได้ว่าเลือกที่จะเสนอชื่อจริง แต่ในขณะเดียวกันในภาพยนตร์จะใช้อีกชื่อหนึ่ง มีความรู้สึกว่าทีมงานควรมีจุดยืนในการนำเสนอที่ชัดเจนกว่านี้ เพราะหากตั้งใจนำเสนอความเป็นตัวตนที่ค้านกันของตัวเอกแล้ว ในหนังก็ควรจะนำเสนอคาแรคเตอร์ของตัวจริงที่เราเห็นออกไป กล่าวคือ ควรเป็นไปในแนวทางเดียวกัน

แต่จะพบว่าในหนัง สมบัติ กับ นวล ซึ่งมีคาแรคเตอร์แตกต่างจากตัวจริงที่สังคมรับรู้ โดยเฉพาะสมบัติ คือ สมบัติเหนียมอาย สุภาพ ส่วนนวลเป็นหญิงมั่น แต่ภายในเรื่องก็นำเสนอได้ไม่สุดอยู่ดี ที่ตัวสมบัติบางครั้งพยายามตลกสไตล์มุขหม่ำ แต่ให้ตัวเป็นสมบัติ จะขำก็ไม่สุด จะสุภาพขี้อายน่ารักก็ไม่สุด เลยดูคลอนแคลนในประเด็นของคาแรคเตอร์ที่ไม่สุดไปสักทาง...


4. เนื้อเรื่องมีการคั่นด้วยละครวิทยุ หรือละครสไตล์ Soap Opera ยุค 70 ใช้ในการดำเนินเรื่องจนเฟ้อ ฉากแสดงความรู้สึกนึกคิด ฉากไคลแม็กซ์ของเรื่องแทบจะ “ เนียน ” และแยกไม่ออกเพราะถูกคั่นอย่างอู้ฟู่ในเรื่องนี้... เมื่อดูแล้วเกิดความรู้สึกติดตามก็จะมีละครมาคั่นจนทำให้เสียอรรถรสไปมาก เข้าใจว่าผู้สร้าง อาจอยากสื่อให้เห็นถึงความคิดการเปรียบเทียบตนเองของคนกลุ่มนี้ ที่มักจะนึกถึงบทละครว่าตนเองเป็นพระเอก นางเอกเมื่อเจอปัญหา อุปสรรคใดๆ ในชีวิตจริง


5.เพลงที่ใช้ในการดำเนินเรื่อง ใช้เพลงสุนทราภรณ์ ในการสื่อความรู้สึกของตัวเอกและฉากสำคัญของเรื่อง แต่ก็เกิดความรู้สึก “ เฟ้อ” เช่นกัน เพลงบางเพลง เช่น ปองใจรัก ถูกใช้จนเฟ้อ ทั้งที่ควรนำวรรคทอง ( พี่คอย น้องคอย ต่างคนต่างคอย แต่บุญเราน้อยหนักหนา คอยเจ้า เจ้าไม่มา ... ) มาเข้ากับฉากสำคัญของเรื่อง คือ ฉากที่พระเอกและนางเอกต่างรอคอยกัน โผล่ฉากนั้นจะโดน “ ปึ้ง ” กว่า และเพลงบางเพลงยังใช้ได้ไม่ “โดน” กับฉากที่ควรจะใช้ เช่น เพลงหนึ่งน้องนางเดียว ( ยลพักตร์เชยพิศ น่าเชยชิดชม แม้ได้สมดังใจนึกปอง พี่คอยประคอง ...) แต่เพลงที่คิดว่าใช้แล้ว “ได้ใจ” ในเรื่องมากๆ ก็มี เช่น ฉากที่สมบัติถูกโจรจี้เงินและทำร้ายร่างกาย ใช้เพลง บรรเลงท่อนที่ว่า “ โอ้ กรุงเทพเมืองฟ้าอมร .. สมเป็นนครมหาธานี ...”


6. แฮนบิล และของแถมที่แจกมา คือ ตุ้กตากระดาษรูปรถ และโบตัน ในเรื่องจะพบการโฆษณา( แฝงแบบโคตรจงใจ ) คือ พระเอกกินโบตันโชวตลอด นางเอกตอนช่วงหลังก็กิน ( หนังมันทำได้ไม่เนียนเลยอ่ะ ) .... และรถแท็กซี่คันเดิม ในฉากท้ายๆ ที่สื่อให้เห็นว่าสมบัติได้กลับออกมาจากคุก มาพบกับรถที่ตนเคยขับ กล้อง close up ไปที่ กท.รถยนตร์ คือ ทน 2514 มองเห็นสติ้กเกอท้ายรถเดิมๆ เหมือนเรื่องพยามจะเน้นให้ระลึกถึงเหตการณ์เก่าๆ ได้ คิดว่า รายละเอียดเช่นนี้เป็นจุดสำคัญของเรื่องพอสมควร... แต่แฮนบิลและของแถมที่ได้มา เป็นรถแท็กซี่ กท . ทน 6131 ทำให้ “พลาด” ไปมาก


7. การดำเนินเรื่องที่มีการตัดไปหาบทละครเก่าเสียเยอะ สลับกับเพลงเก่าจนเฟ้อ ทำให้ติดตามแล้วอารมณ์หลุด / โดดไปมาก ประกอบกับฉากเพ้อฝัน “ innovated อาเอื้อ ” ทำคนดูในโรง งงไปตามๆ กัน ( ไม่รู้ว่ามีทำไม)
และสาระที่จะแทรกในเรื่องย้ำๆ ก็ คือ " การเป็นคนดีที่จะต้องดีตลอดไปไม่ว่าจะมีเหตุการณ์ทำให้คิดทำชั่วได้เพียงใด" เหมือนผู้กำกับพยายามจะยัดเยียดให้คนดูว่า เออ ต้องรู้นะๆ แทนที่จะปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ คือ คนดูคิดเองได้

สุดท้าย ( เท่าที่คิดออกตอนนี้ ) อดนึกถึงหนังเรื่อง Serendipity ไม่ได้ เพราะเนื้อเรื่องทั้งหมดเสนอถึงการพบเจอ / พลัดพราก / และกลับมาเจออีกครั้งหนึ่งโดยบังเอิญ ไม่มีแง่คิดเจ๋งๆ อะไรซ่อนอยู่เท่าไรนัก ( อาจคิดได้ว่า จะเอาไรมากมายกะหนังที่ตั้งใจจะให้ตลกแบบนี้เนอะ) ตอนจบของเรื่องเหมือนตั้งใจขมวดให้จบ โดยเร็วด้วย

วันอังคาร, พฤษภาคม 24, 2548

สุภาษิตวันนี้ เสนอคำว่า “ พระศุกร์เข้า พระเสาร์แทรก”

สุภาษิตวันนี้ เสนอคำว่า “ พระศุกร์เข้า พระเสาร์แทรก”

ทำไมพักนี้มันมีแต่เรื่อง
ไม่ได้นอน ตาปรือๆ หัวเบลอๆ พอเช้าขึ้นมา...กดรีโมทเปิดช่องสามมันพูดชื่อเวบอะไรวะ..คุ้นๆ ยังไม่สะดุดเท่าไร...
ขอเข้าห้องน้ำก่อนนน

ลงมาข้างล่าง อ่านหนังสือพิมพ์ออนไลน์ เฮ้ยยยย
Shit !!! ชิ..หายแล้ว ข่าวหน้าหนึ่งเลย...ไทยรัฐ ผู้จัดการ
โทรหาเพื่อนร่วมชะตากรรมว่าเอาไงดี คุยๆๆ ประชุมๆๆ เวลาผ่านไปเป็นชั่วโมงโดยไม่รู้ตัว หันไปดูทีวี
รายการสมัครดุสิต ที่กรูเปิดอยู่ก็ยังพูดถึงอีก
เอาไงดี จะเฉย เพราะคิดว่าไม่เกี่ยวกับเวบสะทีเดียวก็ไม่ได้ เหมือนนิ่งดูดายเกินไป จะออกมาแก้ตัวก็..นะ แล้วเวบเราเกี่ยวไรด้วย แต่ที่แน่ๆ ชื่อเสียไปหมดแล้ว เลยสรุปกันว่า
ทำเป็นแถลงละกัน
...................................................................
สืบเนื่องจากหัวข้อข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่ง

http://www.thairath.co.th/thairath1/2548/page1/may/24/p1_5.php

ขอเรียนให้ทราบว่า ทางเวบไซต์เด็กดีดอทคอมไม่ได้นิ่งนอนใจ และตระหนักถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตลอด
ทั้งนี้ทางเวบมีมาตรการการควบคุมเนื้อหาสาระของเวบให้เป็นไปในแง่มุมของ "เด็กดี" อยู่ตลอดเวลา อาทิ การควบคุมดูแล คอลัมน์ที่เกี่ยวกับการสนทนาออนไลน์บนอินเตอร์เนต เช่น MsgZone , Chatroom และ Board โดยการสร้างระบบป้องกันการแสดงข้อความที่ไม่เหมาะสม ,
การมีผู้ดูแลตรวจสอบความไม่เหมาะสม ตลอดจนการสร้างระบบให้ผู้ใช้งานเวบได้มีส่วนร่วมในดูแล และแจ้งเพื่อแก้ปัญหาที่ไม่เหมาะสมภายในเวบ
โดยทางทีมงานมีความใส่ใจกับทุกปัญหาที่เกิดขึ้นในเวบไซต์ และพร้อมดูแลอย่างเต็มความสามารถ

ทั้งนี้นอกจากคอลัมน์ ที่กล่าวมาในข้างต้นแล้ว ทางเวบยังมีคอลัมน์ที่มีประโยชน์อีกมากมาย อาทิ

News เพื่อเป็นสื่อกลางช่วยประชาสัมพันธ์งานทางวิชาการจากสถาบันต่างๆ
Knowledge เพื่อนำเสนอบทความที่มีสาระ และเป็นประโยชน์ต่อสังคม
Tutorcenter คอลัมน์ ศูนย์รวมของพี่ๆนิสิตนักศึกษา เพื่อประโยชน์ในการสนับสนุนการ แสวงหาความรู้ และโอกาสทางการศึกษา
Entertain เพื่อเป็นสนามแห่งจินตนาการการเขียนของน้องๆ

นอกจากนี้ทางเวบไซต์เด็กดีดอทคอมยังได้สนับสนุนโครงการสร้างสรรค์ต่อสังคม
เช่น การสนับสนุน มูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่ ฯลฯ

อย่างไรก็ตาม การควบคุมของทางเวบไซด์เด็กดีดอทคอม สามารถดูแลได้เต็มที่เฉพาะในขอบเขตของเวบไซด์เท่านั้น สำหรับปฏิสัมพันธ์ของผู้เยี่ยมชม ที่จะเป็นไปในรูปแบบอื่นๆ จำเป็นที่ผู้เยี่ยมชมจะต้องใช้วิจารณญาณตามความเหมาะสม

ทั้งนี้ทางเวบไซด์ขอส่งเสริมให้ท่านผู้ปกครองเข้ามามีส่วนร่วมในการเยี่ยมชมของบุตรหลานท่าน
เพื่อร่วมสร้างสังคม edutainment ที่อบอุ่น และสอดคล้องกับวัตถุประสงค์อันสูงสุดของทุกคน
คือ การพัฒนาเยาวชนไทย

จากใจเวบมาสเตอร์ และทีมงานทุกคน
...................................................
ร่างเสร็จ...

เพื่อนโทรมา บอกว่ามีรายการทีวีหนึ่ง ติดต่อไปออกคืนนี้... ( เดากันได้ว่ารายการอะไร หึหึหึ)

ปวดหัวจี๊ดทันที......
ใครจะไปออกวะ มีแต่เสียกะเสีย ครั้นจะคิดว่าได้ประชาสัมพันธ์ ทำความเข้าใจมันก็ไม่ใช่ละ มีแต่เสมอตัวกะจมลงกว่าเดิมมากกว่า

ซาละตะแล้ว...โทรกลับไปบอกเขาว่า ไม่ไปโว้ยย... พี่เปลี่ยนเรื่องเถอะ พี่กำลังคิดผิดนะ พี่จะทำเหมือนเคสน้องแนทหรอ แทนที่เรื่องจะเงียบ กลายเป็นชี้ช่องให้คนทำลงเวบหนูแบบนี้มากกว่าเดิมนะ bra bra bra ..( ไม่ได้พูดตรงแบบนี้หรอก แต่ทำนองนี้แหละ )

สรุปแล้วก็ยังไม่รู้เหมือนกันว่าเขาออกเรื่องอะไร เพราะไม่กล้าดู

คิดว่าจะคุยกับเพื่อนอย่างจริงจังอีกครั้งหนึ่ง ถึงแนวทางเนื้อหาสาระของกระทู้ และคอลัมน์ต่างๆ ว่าที่เป็นไปในปัจจุบัน มันได้ตอบโจทย์ตามวัตถุประสงค์เราหรือยัง เช่น คอลัมน์ msg zone ที่ให้หาเพื่อนลงอีเมลมาคุยแลกเปลี่ยนความเห็นกัน แต่ปัจจุบันถูกใช้เป็นเครื่องมือเพื่อหาแฟน แอบแฝงนัดมั่วกันแบบที่เป็นข่าว แม้เหตการณ์นี้เราจะไม่ต้องร่วมเกี่ยวข้องก็ตาม แต่อย่างน้อยก็เป็นภาพสะท้อนสังคมและแนวโน้มที่แย่ลงของเด็กไทยได้มากทีเดียว ( มันจะสอดคล้องกับเรื่องที่เราเขียนข้างล่าง คือ “ คิดว่าคนเราแปลกขึ้นไหม ”)
ถึงเวลาแล้วที่จะต้องร่วมรับผิดชอบต่อสังคมมากกว่าที่เป็นอยู่ เราคิดว่าเราจะเสนอจำกัดเนือ้หาการโพสกระทู้ และคอลัมน์ต่างๆ มากขึ้น แม้จะต้องแลกกับจำนวนผู้ชมเวบที่อาจน้อยลง เพราะไม่สนุก ไม่สนองอารมณ์เท่าเวบอื่นๆ แต่อย่างน้อยก็จะมีเวบนี้แหละที่ไม่ได้เป็นการซึมลึกให้น้องๆ รู้สึกว่าสิ่งที่เขาเห็นและทำในปัจจุบันเช่นนี้เป็นสิ่งปกติ
.
.
.

วันจันทร์, พฤษภาคม 23, 2548

คืนนี้ ยาวนานนัก...

หลากหลายเรื่องราวยังอยู่ในใจไม่ไปไหน...

แสงจันทร์ส่องผ่านช่องรอยต่อของม่าน เปลี่ยนสีไปเรื่อยๆ จนเป็นแสงแดด เคียงข้างน้ำที่ใหลผ่านใบหน้า...

ฉันหยิกตัวเองแรงๆ จะได้มีความรู้สึกเจ็บเป็นเพื่อนกับความโดดเดี่ยวในคืนนี้

ผ่านไปอีกวันแล้วสินะ

อรุณสวัสดิ์

วันศุกร์, พฤษภาคม 20, 2548

เกมส์โชวแบบเสือกๆ

ริงๆ แล้ว ก็อยากเขียนมานานตั้งแต่ปรากฏการณ์อะคาเดมี่ แฟนตาเซียของช่องยูบีซีกำลังฟีเวอร์ จนมาถึงไฮโซบ้านนอกช่องสามที่ถูกขนานนามว่าเฟคจัดฉากที่สุด แต่เห็นจะไม่มีรายการเรียลลี้ตี้ใดมาแรงแซงความฉาวได้เท่ากับ
“ บิ๊ก บราเธอร์”แห่งค่ายกันตนา ที่ออนแอร์ทางไอทีวีขณะนี้ ...




“ บิ๊ก บราเธอร์” เป็นเรื่องราวของคน 12 คน ชาย 6 และหญิง 6 (แบ่งตามกายภาพ)ที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน

แต่ต้องมาใช้ชีวิตอยู่ในบ้านหลังเดียวกันที่กันตนา มูฟวี่ ทาวน์ ศาลายา โดยถูกตัดขาดการติดต่อสื่อสารกับโลกภายนอกอย่างเป็นเวลา 100 วัน

ผู้ชนะของ “บิ๊ก บราเธอร์” จะได้รับรางวัลก้อนใหญ่ ที่มีทั้งบ้านเดี่ยว 1 หลัง จากเค.ซี. พร็อพเพอร์ตี้ รถยนต์ มาสด้า3 สปอร์ต 5 ประตู 1 คัน และเงินสด 1 ล้านบาท

ฟังหรืออ่านผ่านๆ ดูแล้ว..ก็
คงไม่มีอะไรเกิดขึ้น หากรายการยังคงรูปแบบไปตามเรียลลิตี้โชวที่เราๆ ท่านๆ เริ่มคุ้นเคยกันบ้างแล้ว หาก...ไม่....มี...โตโต้และพิม..



ภาพบางภาพอาจดูปกติ เหมาะสมแล้วสำหรับคนกลุ่มหนึ่ง แต่ “ไม่ “ สำหรับสาธารณชน (ที่รวมไปถึง audience เด็ก วัยรุ่นที่ยังขาดวิจารณาญาณอีกมาก) อย่างแน่นอน

ภาพที่โตโต้และพิมกอดจูบอยู่บนเตียงเดียวกันเป็นเวลานาน โดยที่ทั้งคู่รู้อยู่แก่ใจว่ากำลังออกอากาศทั่วประเทศ 24 ชม. พร้อมกล้องที่มีกำลังซูม 18 เท่า จำนวน 26 ตัวและไมโครโฟนไร้สายติดทั่วบ้านไปอีก 40 ตัว !!!
และยิ่งกว่านั้น..คือ มันไม่ใช่การกระทำเพียงแค่เดียว!!

คิดว่าเป็นเรื่องปกติตามธรรมชาติที่คนเรามักอยากรู้อยากเห็นเรื่องของผู้อื่น แต่ไม่ปกติที่จะมีการนำอิริยาบทส่วนตัวของผู้อื่นมาให้ดูตลอด 24 ชม. (แม้ว่าเขาจะเต็มใจก็ตาม)



แต่ละวันผ่านไปโดยมีฉากรักหวานชื่นของคู่นี้ ...

รวมถึงการกำหนดโจทย์ให้ทำกิจกรรม คาดว่าคงพอนึกออก ลองเทียบเคียงภาพรวมกับรายการ อะคาเดมี่ แฟนตาเซีย หรือ ไฮโซบ้านนอกก็ย่อมได้ แต่ ต่างกันพอสมควร ในแง่ของ


• ความสร้างสรรค์ของรายการ กิจกรรมที่ทำแต่ละวัน
- เอเอฟให้โอกาสในการฝึกซ้อมร้อง เต้น เพื่อดูความสามารถ
- ไฮโซบ้านนอกให้ทำงานที่คิดว่าเขาเหล่านั้นจะทำไม่ได้แต่หากทำได้ จะให้เงินรางวัลเพื่อนำไปทำบุญต่อไป
- บิ๊ก บราเธอร์ มีกิจกรรม เช่น ให้เต้นตลอด 24 ชม.เปลี่ยนเพลงก็เปลี่ยนคู่เต้น มีเพลงรวมเมื่อไรที่เพลงขึ้น ไม่ว่าคุณจะอยู่ที่ไหนต้องแต่งตัวและวิ่งออกมาด้วยความทุลักทุเล ทำนองสะใจคนจัดรายการ (ถามว่ากิจกรรมทำแล้วได้อะไร)


• มุมกล้อง ที่แส่เกินจริง
- เอเอฟ เราดูในฐานะผู้สังเกตการณ์ บางมุม จะเห็นได้ว่าเป็นการหลบ บางมุมก็ไม่ชัด
- ไฮโซบ้านนอก เราดูในฐานะผู้ชมทั่วไป คล้ายการชมละคร หรือ ภาพยนตร์ทั่วไป ถ่ายเป็นฉ่อด พักกล้องเป็นระยะ และผู้เข้าแข่งขันมีความเป็นส่วนตัวมากกว่า มีการแสดงถึงฉากที่มีโอกาสในการตัดสินใจมากกว่า
- มุมเผลอ ( หรืออาจแกล้งทำเป็นเผลอตามบทก็แล้วแต่) ของ เอเอฟ เป็นการสื่อให้เห็นถึงผู้เข้าแข่งขันแต่ละคน คิดถึงบ้าน..ระบายความอึดอัดใจ หรืออิริยาบถส่วนตัว เช่น กิน นอน ร้องเพลง ของไฮโซบ้านนอกจะเป็นอารมณ์ร้องไห้ ลำบาก คร่ำครวญถึงความน่าสงสารที่ตนเองต้องได้รับ แต่มุมเผลอของ บิ๊ก บราเธอร์ มักจะเป็น...คู่รักโตโต้และพิม
กอดจูบกันเสมอ... จนบางครั้งแอบคิดไม่ได้ว่า เป็นความจงใจของทีมงานไหมที่ปล่อยให้มีการตัดต่อของรูปเช่นนี้ขึ้นบ่อยๆ ถึงขนาดสามารถ capture รูปปล่อยออกมาตามเนตได้เกลื่อน... แถมรูปบางรูป ฉากบางฉากก็รู้ว่าเขาทำอะไร แต่ทีมงานก็ยังซูมกล้องเข้าไปแล้วปล่อยให้ออกอากาศแบบนั้น...


ทั้งหลายทั้งปวง อาจบอกได้ว่า ความแตกต่างนั้นเกิดขึ้นบนเงื่อนไขของ “ ธีม” ในแต่ละรายการไหม แล้วเราจะเปรียบเทียบทำไม ..แม้แต่วิธีการสร้างสรรค์รายการที่แตกต่างกัน แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่า ของรางวัลที่ผู้ร่วมแข่งขันได้ นำไปทำบุญจริง เราถึงมองว่าดี หรือ กิจกรรมที่เรามองว่าไร้สาระผู้เข้าแข่งขันและผู้ชมอื่นๆ อาจชื่นชอบก็ได้ ฯลฯ


สิ่งที่คิดว่าสำคัญที่สุด คือ ต้องตอบคำถามให้ได้ว่า เกมประเภทนี้ ดูแล้วได้หรือเสียมากกว่า

เพราะภายใต้สโลแกนชูโรงหากิน ได้ป่าวประกาศอยู่โต้งๆ ว่าเป็น “ เกมชีวิต ”
นั่นหมายถึง ความพยายามที่จะสื่อให้ผู้ชมได้รับรู้ถึงความเป็นจริงของผู้ร่วมแข่งขัน
ไม่ว่าจะเป็นทัศนคติ อิริยาบถ การแสดงออกความสามารถต่างๆ ที่ผู้ร่วมแข่งขันมีในตัวเองรวมถึง ผู้ร่วมแข่งในเกมรู้สึกต่อกันด้วย เราๆ ผู้ชมอยู่ในฐานะ...ผู้สังเกตการณ์ผ่านจอโทรทัศน์ ต้องตอบตัวเองให้ได้ว่า เราดูเพื่ออะไร
ในเมื่อเขาก็บอกว่า มันเป็นเรื่องจริง!!!

ลองคิดดูดีๆ .ภายใต้สโลแกนเกมชีวิต ....เราจะไม่ต่างอะไรกับบรรดา “ไทยมุงยุ่งเรื่องชาวบ้าน” เลย เพียงแค่เปลี่ยนจากการดูแบบเผชิญหน้ามาเป็นผ่านจอแก้วเท่านั้น

และมันก็แค่ลูกเล่นทางธุรกิจบันเทิง แค่เกมโชว...ที่ไม่มีวันจะเป็นจริงได้
เพราะตามธรรมชาติมนุษย์มีความเป็นส่วนตัว มีความลับ และเมื่อไรก็ตามที่คิดว่ามีสิ่งแปลกปลอมอยู่ จะระวังตัว ไม่เปิดตัวตนที่แท้จริงออกมา จึงอาจกล่าวได้ว่านี่คือเกมแสดงละคร ใครแสดงเก่งกว่า นานกว่า ได้รางวัล เหมือนละครทั่วไปเพียงแต่ตัวละครไม่ well known เท่านั้นเอง


และหากพิจารณาในแง่ขององค์ประกอบเกมโชว.. บิ๊ก บราเธอร์ ก็คือ เกมโชว์อย่างแน่นอน เพราะมี
1. พิธีกร ( ศรัญยู วงศ์กระจ่าง)
2. ผู้ร่วมเข้าแข่งขัน ( 12 คนนั้น )
3. มีการแข่งขันให้รู้แพ้ชนะ ( โหวตออก)
4. มีของรางวัล ( บ้าน รถ เงินสด)
5. เปิดโอกาสให้ผู้ชมมีส่วนร่วม ( โหวต sms ได้)
6. ในรายการแต่ละตอน มีพล็อตดำเนินรายการ ได้แก่ การเริ่มต้นเกม แข่งขัน นำไปสู่บทสรุป คือ จบรายการ ( 100 วันที่ต้องอยู่ในบ้านทำกิจกรรมต่างๆ ตามกำหนด)


สิ่งที่น่าเป็นห่วงกับภาวะความก้ำกึ่ง ระหว่างความจริงกับสิ่งลวงนี้ คือ คุณค่าที่กลุ่มผู้ชมจำนวนหนึ่ง ทั้งผู้ปกครอง และกลุ่มเด็กเล็กจนถึงเด็กโต ตัดสินให้แก่รายการนี้

เพราะกลุ่มรายการประเภทนี้จัดเป็น Light entertainment โดยมีส่วนผสมระหว่าง เรื่องจริงกับสิ่งลวง ( Jouurnalism drama) กล่าวคือ เกมโชวมีลักษณะของเรื่องจริงที่มิใช่เรื่องแต่งขึ้นแบบละครหรือนิยาย ( non-fiction ) เพราะตัวบุคลที่มาร่วมรายการต่างมาปรากฏตัวในฐานะตัวตนของเขาจริงๆ และกิจกรรมที่ดำเนินไปในรายการก็เป็นไปอย่างเป็นจริง เป็นจัง แต่ในขณะเดียวกัน องค์ประกอบอื่นของรายการก็มีคุณลักษณะที่ตกแต่งขึ้นมา ( Fiction ) / Fake เช่น ฉาก เกมที่เล่น กิจกรรมที่เซ็ตเข้ามา ไม่ว่าจะเป็นการห้ามติดต่อสื่อสารกับคนภายนอก การต้องอยู่แต่สถานที่ๆ กำหนดไว้เท่านั้น การโหวตคนออก การใช้กล้อง ไมโครโฟนติดตามจุดต่างๆ กฎกติกามารยาทต่างๆ เหล่านี้ ล้วนไม่ใช่ปรากฏการณ์ที่บุคคลต้องเผชิญหน้าในชีวิตจริง และลักษณะการดำเนินเรื่องยังคล้ายคลึงกับละครหรือนิยายโดยทั่วไป เช่น มีการเล่าเรื่อง มีการเปิดเรื่อง ดำเนินเรื่องและมีการลงท้ายหรือสื่อให้เห็นถึงบทสรุปตอนจบของเกมในแต่ละวัน โดยอาจเป็นเสียงบรรยายเข้ามาให้ผู้ชมได้รับฟัง
แม้ว่า ลักษณะบางอย่างอาจมีความเหมือนกับละครหรือนิยายที่เราได้ชมกันอยู่บ้าง แต่ก็ยังมีแบบเฉพาะที่ทำให้รายการประเภทนี้มีความโดดเด่นแตกต่างจากละครทั่วไป เช่น ในแง่ของการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างตัวรายการกับผู้ชม( address to audience ) ที่มีการดึงความสนใจ และเปิดโอกาสให้ผู้ชมมีส่วนร่วมกับทางรายการอยู่ตลอดเวลา มีความใกล้ชิด มีอำนาจในการตัดสินความเป็นไปของผู้เข้าแข่งขันได้ เช่น การให้โหวตเสียง sms โทร ( ซ้ำยังเป็นการสร้างรายได้มหาศาลแก่ผู้จัดรายการอีกด้วย)

จะเป็นอย่างไร หากกลุ่มผู้จัดรายการพยามนำเสนอในแง่ของความจริงเพื่อดึงดูดให้ผู้ชมสนใจมาก อันหมายถึงตัวเลขทางธุรกิจที่จะดีไปด้วย ทั้งที่ความจริงเป็นเพียงละครบันเทิงอีกประเภทหนึ่งเท่านั้น...

ท่านอาจไม่ซีเรียส เพราะท่านแยกออกว่าอะไร เป็นอะไร...

แต่อย่าลืมว่า หากมองในแง่ของจรรยาบรรณ การสื่อสาร และมองในกลุ่มผู้รับสารแล้ว การรับข้อมูลที่เป็นเท็จ ไปประมวลผลด้วยตัวของเขาเองเป็นเรื่องที่น่าตำหนิสำหรับสื่อ และอันตรายมากสำหรับผู้รับสารนั้น
อย่างไรก็ตามมีหลายประเด็นที่น่าขบคิดต่อไป เช่น

• มองในแง่ของสื่อแล้ว ควรมีวิจารณญาณของการนำเสนอควรเลือกสะท้อนภาพให้เหมาะสมกับสังคมประเทศไทยมากกว่าที่รายการบิ๊ก บราเธอร์เป็นอยู่หรือไม่
• หน้าที่ในการกลั่นกรองความเหมาะสมออกอากาศเป็นสิ่งที่ควรคำนึงถึงอย่างมาก กบว.ให้อำนาจหน้าที่ในการกรองภาพ เสียงแก่ช่องนั้นๆ แล้ว ภาพที่ไม่เหมาะสมยังมีให้เห็นมากขนาดนี้ แสดงถึงความไม่ตระหนักของทีมงาน หรือไม่
• ควรมีความชัดเจน มีนิยามของคำว่า “เหมาะสม” ให้เป็นแนวทางในการปฏิบัติของแต่ละสถานีหรือยัง
• ทำอย่างไรให้ผู้ชมเข้าใจถึงความเป็นเกมและไม่นำพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมไปปฏิบัติเป็นเยี่ยงอย่าง
• รายการประเภทเรียลลิตี้ นี้ เป็นการสร้างค่านิยมใหม่ให้กับสังคมไทยหรือไม่ คือ พฤติกรรมส่วนตัวไม่จำเป็นต้องเปิดเผยในที่สาธารณะ แต่การนำเรื่องลับส่วนตัวมาเผยแพร่ให้คนอยากรู้ การยอมสูญเสียความเป็นส่วนตัว เป็นการสร้างความอยากรู้อยากเห็นให้ผู้อื่น และบ่มเพาะความคิดสร้างค่านิยมผิดๆ หรือไม่ ว่าการทำให้ผู้อื่นเข้าใจว่าตนเองเปิดเผยเรื่องส่วนตัว การแสดงละครได้เนียนมากเท่าไร ยิ่งได้รับรางวัลเป็นผลตอบแทน สิ่งต่างๆ เหล่านี้จะชักนำไปสู่ปรากฏการณ์ “ ขายความลับ ” เหมือนถ่ายหนังโป๊ไหม...


ว่าไปแล้ว...........



ไอ้ตัวคนเขียนเองนี่แหละ ตามดูหมดทุกรายการ แต่ปากก็บอกว่าไร้สาระ
หึหึหึ

วันเสาร์, พฤษภาคม 07, 2548

Serendipity…หรืออะไรนะ ที่ทำให้เราได้พบกัน

เมื่อวันสองวันที่ผ่านมา จู่ๆ เราก็นึกถึงหนังเรื่องนี้ขึ้น

เป็นเรื่องราวของ คนสองคนที่เจอกันโดยบังเอิญ ณ สถานที่แห่งหนึ่ง โดยที่ทั้งสองได้มีช่วงเวลาสั้นๆ ด้วยกัน แต่ด้วยความที่ทั้งคู่มีคนรักอยู่แล้ว..จึงได้แต่ปล่อยให้ค่ำคืนนั้นเป็นเพียงความทรงจำที่ยากจะลืม... โดยให้เหตุผลว่า..หากทั้งสองถูกกำหนดให้คู่กัน พวกเขาก็ย่อมพบหนทางที่จะนำพาให้หวนกลับมาพบกันได้เอง โดย ซ่าร่า (นางเอก)
เลือกที่จะให้โชคชะตาเป็นผู้กำหนด


วันเวลาผ่านไป...ทั้งสองต่างก็มีชีวิตเป็นไปในแบบของตน แต่เมื่อทั้งคู่ต้องเข้าพิธีแต่งงานกับบุคคลอื่น..ต่างก็นึกถึงเหตุการณ์ที่ล่วงเลยผ่านมา พวกเขาตัดสินใจที่จะตามหากันและกัน...โดยที่ ไม่มีรายละเอียดของอีกฝ่ายเลย เว้นแต่..ชื่อ เท่านั้น



สิ่งที่เราคิดว่าเป็นแก่นของเรื่องนี้ทั้งหมด..เห็นจะเป็นอะไรไปไม่ได้ นอกเสียจาก ความบังเอิญ...
บังเอิญ บังเอิญ บังเอิญ..จนดูเหมือนมีใครสักคน...ตั้งใจ


บังเอิญ คำๆ นี้เอง..ที่พาให้เราดำเนินชีวิตไปได้หลายหลากรูปแบบ


คงเป็นเพราะเราไม่ค่อยเชื่อในเรื่องพรหมลิขิต และหัวเราะเยาะกับความเชื่อแบบฝันเฟื่องประเภทนี้มาก มันไม่ต่างอะไรกับเจ้าหญิงรอคอยเจ้าชายที่ไม่เคยพบกันมาก่อน สาวใช้คนจนพบรักกับนายจ้างสุดหล่อรวย อะไรเทือกนี้เท่าไรนัก
เน่าอะไรเช่นนี้วะ!!


กลับมาคิดดูเส้นทางเดินของตัวเองในวันนี้ ไม่ต่างอะไรกับ Serendipity เลย ซ้ำยังเน่ากว่า


มักมีคนถามเราอยู่เสมอ ว่า ทำไมจู่ๆ หันเหชีวิตตัวเองกลับมาเรียนนิติศาสตร์อีกครั้ง ทั้งที่เราก็หากินในวงนิเทดได้ “ เจิด ” ระดับหนึ่ง..
จริงๆ เป็นคำถามที่น่าเบื่อมาก เหมือนถูกถามเวลาโดนสัมภาษณ์ว่า “ อยากทราบแรงบันดาลใจ ที่มาของการทำเวบไซต์เด็กดีค่ะ..” ตอบชนิด ท่องเป็นคำกลอนได้แล้วล่ะ



แต่เชื่อมั้ย...
กับคำถาม คิดยังไงถึงมาเรียนนิติศาสตร์ หรือ รู้ตัวได้ไง ว่าชอบกฎหมาย...
ส่วนมากเราตอบไม่ค่อยซ้ำกันเท่าไรเลยนะ เพราะมันมีทั้งความบังเอิญและเรื่องราวของมันอยู่มากมายเหลือเกิน เกินกว่าที่เราจะบอกใครสักคนให้เข้าใจได้หมด...


ไม่ได้อยากเปรียบเทียบว่าอะไร ดีกว่าอะไร แต่บอกได้ว่าตอนนี้ชอบอะไรมากกว่าอะไร ซึ่งความชอบ..ไม่จำเป็นต้องมีเหตุผลที่ดีเท่าไรนัก..



ตอนนี้ชีวิตของเรา...ทิ้งความเป็นนกน้อยไร่ส้ม ในรั้วชมพูมากขึ้นๆ ทุกที ที่เราได้สัมผัสกับรั้วนิติศาสตร์...
ซึ่งเป็นการทิ้งแบบเต็มใจ!!!


เหมือนกับการค้นหาอะไรสักอย่างในชีวิตเรา ที่เราเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่า เมื่อไรเราจะรู้ว่าเราค้นหาอะไร เราได้แต่ปล่อยให้ตัวเองค้นหาไปเรื่อยๆ จนกว่าจะเจอ...



เราอาจกำลังเป็นแบบนั้นอยู่..


1 ปีที่ผ่านมาให้อะไรกับชีวิต (ว่างงานฟลูไทม์) ของเรามาก
แต่บางครั้ง นกน้อยอย่างเราเกิดรู้สึกสับสน…


ว่าเรากำลังตัดสินใจก้าวอยู่ในอีกโลกหนึ่ง ที่เราไม่เคยสัมผัส มันช่างต่างกับโลกที่เราคุ้นเคยเสียนี่กระไร
โลกใหม่ ฟ้าใหม่ ที่เรายังสัมผัสไม่ถึง วันเวลา...พาเราออกมาไกลเหลือเกิน เกินกว่าที่เราตั้งใจไว้มาก ตอนนี้เราพบแล้ว สอบเข้าได้แล้ว..แต่ยังไม่สำเร็จ เราคงต้องบินอีกไกลแสนไกล โดยที่ไม่รู้ว่าจะมีกระแสลม ฝน เมฆ หมอก อะไรข้างหน้าบ้าง แต่เราจะไม่บินกลับที่เดิม






เราอยากพ้นภาวะ “ลูกครึ่ง” นี่เสียที

ลูกครึ่งนิเทด ซึ่งกลับไปคณะ อาจารย์ รุ่นพี่ รุ่นน้องบางคน ต่างพากันผิดหวังในตัวเราที่ทิ้งตำแหน่งงานอันหลายคนไฝ่ฝัน แล้วดันเสียเวลากลับไปเรียนคนละขั้ว

ลูกครึ่งที่ตอนนี้เราก็ตามงานเอเยนซี่ไม่ทัน คุยการตลาดกับเพื่อนไม่เวิร์คเหมือนเมื่อก่อน เราเริ่มซื้อ Marketeer ห่างขึ้น เข้าเวบโฆษณาน้อยลง จำหน้าตา นสพ.ฐานเศรษฐกิจ ไม่ค่อยได้ อีกหน่อยคงขาด connection ในวงของเราออกไป

ลูกครึ่งที่..ตัวเราเองก็ยังไม่ประสีประสาในเรื่องกฏหมาย การมองประเด็นไม่แตก คุยเรื่องกฎหมายก็ไม่ค่อยได้อีก

ฯลฯ
เหมือนนกผลัดขนเลยเนอะ จะสวยก็ไม่สวย มองมาเป็นตัวอะไรก็ไม่รู้




เราจะไม่เสียดายอดีต จะไม่หันกลับไป เราได้แต่เพียงหวังให้ปีกน้อยๆ ของเราค่อยเติบใหญ่ขึ้น จนสามารถบินไปข้างหน้าได้สูงสู่ฝัน….


เราซุ่มเข้าไปอ่านบทความ เวบบอร์ด ศึกษาข้อมูลต่างๆที่เกี่ยวกับกฏหมาย เท่าที่ปัญญาอันน้อยนิดของเราจะพอหาอ่านได้จากอินเตอร์เนต เราอ่านแบบ “ไก่ตาแตก” แอบอ่านไม่มีตัวตน เขาคุยเขาถามอะไรกันก็ไม่ค่อยกล้าแสดงความคิดเห็น แล้วได้แต่คิดในใจว่า “ เขาคุยมาตราอะไรกันวะ ..กูรู้จักแต่การสื่อสาร....”



อดรนทนไม่ไหว...อายครูบ่รู้วิชา อายปากกามึงก็ไม่ได้เขียนสักกะที...
บอกกะตัวเองยังงี้ เลยตัดสินใจ เข้าไปร่วมแจมกะพี่ๆ ที่เขาวิ่งเล่นกันในบอร์ด จนเป็นความอภิมหาโชคดี ที่ได้มีโอกาสรู้จักยอดขุนพลอาจารย์แต่ละท่านด้วยความบังเอิญ... ( หากพี่อ่านอยู่พี่คงคิดว่าก้อยโชคดี แต่พี่โคตรซวย เพราะถูกถามทั้งวัน 5555 )




เคยคิดไหม
อะไรนะ...ที่ทำให้เราพบกับคนเหล่านี้ ทั้งที่อยู่กันไกลแสนไกล
คนบางคน เราอาจเดินสวนกันทุกวัน ไม่มีโอกาสได้คุยกัน
คนบางคน เราไม่เคยเจอกัน แต่มีโอกาสได้คุยกันแทบทุกวัน
บางที... คนที่เรามองหาทั้งชีวิต ก็อาจจะอยู่ในนี้ก็ได้........


สำหรับเราแล้ว...sirendipity ของเรา คือ การได้กลับมาเป็นนักศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์อีกครั้งหลังจากเคยปล่อยให้โชคชะตากำหนดไว้เมื่อ 5 ปีที่แล้วนี่ล่ะ ....

วันอังคาร, พฤษภาคม 03, 2548

คิดว่าคนเราทุกวันนี้แปลกมากขึ้นไหม

นี่อาจเป็นคำถามชี้นำ แต่ก็อดคิดเช่นนี้ไม่ได้จริงๆ หลังจากที่วันนี้ทำงานหนัก เพราะเจอกระทู้ชวนหัวเสียเข้าขั้นเต็มเวบบอร์ด....


อีก 1 งานที่เรารับผิดชอบในโลกอินเตอร์เนตนี้ คือ การดูแลความเรียบร้อยของเวบไซต์หนึ่งที่มีกระทู้ผุดขึ้นอย่างต่ำวันละ 500 คำถาม( ไม่รวม reply เป็นพันๆ ที่จะต้องผ่านตาเราทั้งหมด ) ยิ่งช่วงใกล้ประกาศผลเอนทรานท์... เหอเหอ ความสะบักสะบอมยิ่งทวีคูณ เรายิ่งต้องทำหน้าที่กลั่นกรองเนื้อหาที่ไม่เหมาะสมออกไปมากขึ้นเท่านั้น....


มันชินแล้วล่ะ บนหน้าที่ความรับผิดชอบที่เราทำมา จนป่านนี้...( อย่ารู้เลยว่ากี่ปีมาแล้ว เดี๋ยวจะพาให้นึกถึงอายุ อิอิ )


แต่บน “ความชิน” ของเรานั้น . ..เ รารู้สึกได้ ถึงความเปลี่ยนแปลงไปในแง่ลบของสังคม ( ไทย )


1. เราพบว่า มีกระทู้ถามเกี่ยวกับเรื่องเพศมากขึ้น ...

จริงอยู่ เรื่องเพศศึกษาเป็นเรื่องที่ไม่ควรปิดจนมิ้ดดดดดดดดด เสียจนเด็กๆวัยอยากรู้จะต้องพยายามหาคำตอบด้วยตนเอง เราจึงมี “เกณฑ์เงาๆ” ให้แก่กระทู้ประเภทนี้ ว่า หากเด็กๆ ตั้งคำถามที่เป็นประโยชน์แก่ตนเองและผู้อื่นพอสมควร ก็จะปล่อยกระทู้ชนิดนี้ให้ปรากฏในเวบไซต์ได้ชั่วระยะหนึ่ง...เมื่อมีคนตอบหรือให้ข้อมูลคำแนะนำพอสังเขปแล้ว เราจะทำการลบกระทู้เหล่านี้เสีย

ด้วยถือว่า ผู้สื่อสารได้ทำการสื่อสารบรรลุตรงตามวัตถุประสงค์แล้ว กล่าวคือ มีการถาม มีคนตอบได้ตรงคำถาม (แม้อาจจะไม่ถูกใจ) เพื่อมิให้เกิดวัยรุ่นในเวบนำมาเป็นเยี่ยงอย่างตั้งกระทู้เช่นนี้บ้าง..มิฉะนั้นคงจะเห็นเรี่ยราดเต็มเวบ เช่น กระทู้ “…หน้า 7 หลัง 7 มันคืออะไรหรอ....” เป็นต้น


+
+
+




2.เราพบว่าสังคมไซเบอร์เป็นสังคมที่ “กว้างแต่แคบ ” เป็นอย่างไร???

คำว่า “ กว้างแต่แคบ ” ก็ คือ เราคิดว่าการมีเวบไซต์ หรือการทำเวบบอร์ดให้แสดงความคิดเห็นไม่ว่าคุณจะอยู่ที่ไหน เมื่อใด เป็นใคร ก็สามารถถ่ายทอดแนวความคิดของตนเองออกมาได้เสมอเป็นเรื่องที่เปิดกว้างมาก แต่สิ่งที่แคบก็คือ ตัวคนเล่นเอง....

เมื่อสังคมออนไลน์มีการสื่อสารที่ไม่พบปะหน้าตากัน ไม่มีใครรู้ว่าเราเป็นใครแล้ว บ้างก็ใช้โอกาสนี้แสดงความเห็นของตนไปในแนวเผย “ สันดาน ” แต่ไม่ “ สันดาป” ทางความคิด ด้วยการใส่ร้ายป้ายสี ปล่อยข่าว ใส่อารมณ์ สร้างกระแส หรือแม้แต่ ด่ากราด มากกว่าจะใช้อินเตอร์เนตเพื่อแสวงหา แลกเปลี่ยนความรู้

บ่อยครั้งที่เราต้องลบกระทู้ที่มีแต่คำผรุสวาทออกไป เห้อ...


+
+
+




3. เราพบว่าแต่ละวัน มีเวบไซต์เกิดขึ้นใหม่อย่างมากมายมหาศาล

แล้วก็มาโปรโมทในเวบเราจนกลายเป็นกระทู้ขยะ
เพราะหาได้ส่วนน้อยที่จะเป็นเวบแนวสร้างสรรค์ประเทืองปัญญา แต่จะเป็นไปในลักษณะ..เวบเกมส์ออนไลน์ หาคู่ หรือโพสรูปคนจน( ไม่มีเสื้อผ้าจะใส่) เมื่อถูกแบนหรือปิดเวบไซต์ไป ก็จะหาวิธีเปิดไซต์ใหม่ น่าแปลกที่เวบเหล่านี้ไม่ต้องลงทุนมาก ไม่ต้องโปรโมทก็มักมีคนตามหาเจอเอง

เรามองว่าการใช้อินเตอร์เนตของเด็กในประเทศไทยบางกลุ่มยัง “เส็งเคร็ง” อยู่มาก อะไรที่ทำให้เราคิดแบบนั้น... เพราะเรามองจากการอ่านหัวข้อกระทู้รายวัน ทั้งจากเวบของเราเอง และเวบไซต์ชื่อดังอื่นๆ หัวข้อกระทู้ที่พบมาก คือ เรื่องเพศ เรื่องเกม และแชท

เป็นเรื่องที่ควรตระหนักอย่างมาก หากวัยรุ่นบ้านเราใช้เวลาหมกมุ่นไปกับการแชท หาแฟนในเนต เกม หรือเข้าเวบที่ผิดศีลธรรมเช่นนี้ ประเทศชาติจะเป็นอย่างไร การที่จะดูภาวะความหมกมุ่นของวัยรุ่นในปัจจุบันนั้น ดูไม่ยากเลย ลองคลิกอ่านหัวข้อกระทู้ตามเวบบอร์ดดูสิ....มันสะท้อนอะไรๆ ได้ดีเชียว ...



+
+
+




4.เราพบว่า จิตสำนึก ความรับผิดชอบของทุกคนหายไป ( แม้แต่ตัวเราเองมั้ง )

มองในแง่ผู้ส่งสาร ในที่นี้ คือ ผู้จัดทำเวบไซต์ มองในแง่ผู้รับสาร ในที่นี้ คือ เด็กวัยรุ่น
ผู้ส่งสารขาดจิตสำนึกในการเสนอข้อมูลที่มีประโยชน์ ขาดความเป็นสื่อในอุดมคติ ( หรือมันคงเป็นได้แค่อุดมคติจริงๆ เพราะตกอยู่ในวังวนของทุนนิยม ใครก็ต้องกินต้องใช้) มองแต่ผลประโยชน์ที่ตนจะได้รับจากสปอนเซอร์ รายได้ตอบแทน มากกว่าสิ่งที่ควรจะเป็น

ผู้รับสารเองก็ขาดจิตสำนึกในการใช้ทรัพยากร คลังความรู้จากอินเตอร์เนตให้เกิดประโยชน์ ซ้ำยังเต็มใจรับสารเน่าๆ ที่ไม่ก่อประโยชน์ใดเลยเว้นแต่เพิ่มอารมณ์รัก โลภ โกรธ หลง ให้แก่ตนเอง



+
+
+




5.เราพบว่า ทุกวันนี้ คนเราพยายาม “ เสนอ ” ความเป็นตัวเองให้ผู้อื่นรับรู้

ประกาศความเป็นตัวตนมากขึ้นท่ามกลางความหลากหลายที่มีมากขึ้นตาม จึงเป็นที่มาของความพยายาม “ ขุด ” ความแปลกในตัวให้มากขึ้นตามไปด้วย
( มันทำเพื่ออะไร จะบ้ากันไปใหญ่แล้ว )


ทุกท่านคงได้ยินคำว่า “ อินดี้ ” หรือ “ เด็กแนว ” ยิ่งแปลก ยิ่งเด่น ยิ่งทำตัวไม่เหมือนใคร ยิ่งแนว.....
มีเยาวชนจำนวนไม่น้อยที่กระเสือกกระสนให้ตนเองเป็นเช่นนั้น โดยเฉพาะการแต่งกาย การประกาศรสนิยม การพูดจาหรือวัฒนธรรมใหม่ใดๆ ก็ตามที่จะให้เกิดการยอมรับในกลุ่มเพื่อนว่าเป็นเด็ก “ แนว ” สิ่งที่เราพบในกระทู้บ่อยๆ คือ “ใครเป็นเด็กแนวมั่ง / อยากเป็นเด็กแนวมาทางนี้ ...”

สิ่งที่ไม่เข้าใจอยู่ก็คือ นี่น่ะหรือ..ความเป็นปัจเจกบุคคล ... มันก็กลายเป็นปรากฏการณ์ตามชาวบ้านเขาอยู่ดี...



ว่าไปแล้วก็คิดว่าทุกวันนี้ วัยรุ่นไทยแปลกมากขึ้นไหม เขาแปลก... หรือเรากันแน่นะที่แปลก ....

;)

วันอาทิตย์, พฤษภาคม 01, 2548

!!! จะเขียนอะไรดี !!!

ดอารี่เล่มใหม่ เกิดขึ้นแล้ว...

คิดถูกคิดผิดไม่ทราบได้ ..แต่ก็คิดว่า อยากลองขีดๆ เขียนๆ อะไรเล่นดูกะเขามั่ง หลังจากมีโอกาสอ่านงานของรุ่นพี่ๆ มาแล้วหลายชิ้น วนเวียนอยู่ในโลกไซเบอร์มาก็ระยะหนึ่ง แม้อยู่แบบมีตัวตนมาพอสมควรแต่ไม่เค้ย..ไม่เคย ที่จะลองทำอะไรเป็นแก่นสารกะเขาหรอกอ่ะ อย่างดีก็แค่ตอบกระทู้แสดงความเห็นไปเรื่อย ...

บางทีการมีเวบบลอคก็ดีไปอีกแบบ เพราะ หากไม่อ่านหนังสือ ดูทีวีเที่ยวเล่น ก็เห็นจะมีอินเตอร์เนตนี่แหละ ที่เป็นเพื่อนคู่ใจบำบัดความใคร่เหงา ใครรู้ประจำวัน จะได้เข้ามาอัพเดทอารมณ์บ่นได้อย่างต่อเนื่องที่นี่ ( หลังจากใครๆ ก็ทนเราบ่นมานาน จนพักหลังไม่ค่อยมีเหยื่อให้พ่นน้ำลายเท่าไรแล้ว)



ก็คิดว่าจะเกาะที่นี่ไว้โชว์โง่ บ่น ..พ่นไฟ.. ระบายความบ้า... อีกที่หนึ่ง ( ถ้าเขาไม่ลบของเรา เพราะเห็นว่าไร้สาระจัดไปสะก่อน)

+
+
+

แต่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่านิสัยอย่างเรา จะทำเวบบลอคได้สักกี่น้ำ... 5555
เพราะเป็นคนฮิตอะไรเป็นช่วงๆ ตามอารมณ์
+
+
+

ขอขอบคุณพี่ต้อง กะ พี่ป๊อกด้วยค่ะ ที่เป็นแหล่งคัมภีร์หนึ่งให้ก้อยได้ขอความรู้เสมอ เวบบลอคนี่ ก้อยก็ได้แรงบันดาลใจจากพี่ทั้ง 2 นี่แหละ ; )