*STYLE TYPE="text/css"> p {align=justify} BODY{cursor: url(http://ourworld.cs.com/dollielove6/uc4.cur);} a {cursor: url(http://ourworld.cs.com/dollielove6/uc4.cur);} */STYLE> Bakery Idea From me :): เมษายน 2006

Bakery Idea From me :)

วันพฤหัสบดี, เมษายน 27, 2549

จุด จุด จุด

ในวันเดียวกัน หลังจากทำเอง อ่านเอง บ่นเองในเรื่องข้างล่าง ก็มีเวลาลองอ่านบลอคของเพื่อนๆ พี่ๆ ไล่ไปทีละอัน
วันนี้เป็นวันแรก ที่ได้อ่านเรื่องราวความเห็นต่างๆ ตามสายบลอคเกอร์อย่างเต็มที่ในรอบ 3 เดือนได้

เกิดรู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลง หรืออาจไม่เรียกกว่าความเปลี่ยนแปลง แต่อาจเรียกได้ว่าเป็นปรากฏการณ์สันดานที่เพิ่ง " ผุด " ในสายตาเรา

เราเกิดความรู้สึกไม่กล้าโพสความเห็นอะไรในบลอคของคนที่เราเคยโพส
บางครั้งเห็นด้วย บางครั้งไม่เห็นด้วย บางครั้งไม่มีความเห็นเกี่ยวข้องกับประเด็นที่โพส แต่ก็คอมเม้นลงไปด้วยอยากทักทาย

เกิดความ " สบายใจ " ที่จะ "พิมพ์"

บางครั้งบุคลิกของเราก็ชื่นชอบการเข้าสังคม ทำความรู้จักกับสิ่งใหม่ เพื่อนใหม่ ความเห็นใหม่
แต่บางครั้ง เราก็เหมือนปิดตัวเอง ไม่อยากรู้จักหรือแสดงความเห็นแลกเปลี่ยนอะไร ไม่อยากเห็นด้วยกับใคร
ไม่อยากพิมพ์อะไรลงไปในบลอค ทั้งๆ ที่ มันก็บลอคเพื่อน บลอคคนรู้จักกัน ไม่อยากต่อความยาวสาวความยืด กับคอมเม้นที่บางที มันไม่ค่อยเกี่ยวกับหัวข้อหรอก มักขุดอะไรต่อมิอะไรขึ้นมาด่ากันมากกว่า




เรื่องของเรื่อง คือ เพราะไม่อยากเป็นพวกใครเลย...

จะคอมเม้นเกี่ยวกับหัวข้อ ก็จะไม่เข้ากับคอมเม้นที่เขาเถียงกันอยู่ จะคอมเม้นเกี่ยวกับที่เขาเถียงกันอยู่ ก็จะไม่เข้ากับหัวข้อที่อ่าน..


เริ่มไม่แน่ใจ ... หลังจากที่ได้อ่านคอมเม้นแรงๆ ของบางคนในบางบลอค เราก็ไม่รู้ว่าควรอ่านอย่างเดียวหรือควรเสร่อแทรกความเห็นลงไปด้วยดี
เพราะไม่รู้ว่า จะเป็นการแทรกบรรยากาศเชียร์มวยของใครอยู่หรือปล่าว...

วันพุธ, เมษายน 26, 2549

ไม่มีชื่อเรื่อง

ช่วงนี้รู้สึกห่างหาย ไม่ค่อยได้ทำอะไรเป็นชิ้นอันสักอย่าง
ขาก็ยังเดินเดี้ยงๆ เพื่อนบอกว่ายังเป๋ เดินไม่สวยเหมือนเก่า ( เซ็งมาก ปรึกษาหมอก็บอกว่าต้องรอเวลาเข้าที่จริงๆ อีก 3 เดือนเดี๋ยวดีเองไม่ต้องกายภาพ)
ไอ้เราก็อยากหายไวๆ จะได้ไปไหนมาไหนได้สะดวก ตอนนี้เดินไม่ค่อยปกติ เดินนาน ๆก็เจ็บ ขาบวม กลับมาบ้านต้องแช่น้ำอุ่นตลอดจนขาสุกแล้ววว

รู้สึกว่าตัวเองยังไม่ " สุด " คือ เหมือนทำอะไรยังไม่เต็มที่ และรู้สึกอยากทำเสียทุกอย่าง ในหัวมีอภิมหาโครงการทั้งหลาย แต่ไม่ทำ ....
ชีวิตเรา.. ทำไมเอาแต่ใจแบบนี้ก็ไม่รู้

รู้สึกเสียดายเวลาที่ผ่านมา( อีกละ)
ก็คิดแบบนี้ พูดแบบนี้ทุกเทอมเลย จนโดนคนเขาบอกว่าก็พูดแบบนี้มาทุกปิดเทอม แต่ไม่เคยทำจริงๆ
555



คะแนนสอบเทอมสองตอนนี้ออกหมดแล้ว พอใจระดับนึง ยังไงก็ดีกว่าเทอมแรกมาก
คิดว่าคงเป็นไปตามวัฒนาการตามปกติของนักศึกษาทั่วไปที่เริ่มปรับตัวในการเรียนการสอนได้มากขึ้นมั้ง

คณะนี้การตอบข้อสอบมันมั่ว มันแถ ไม่ได้เหมือนนิเทดจริงๆ
แต่ที่มั่ว คือ.. คะแนน
รู้สึกอยากไว้อาลัยให้เจ้าหน้าที่หลายๆ คนที่คณะนี้เลย เพราะผิดหวัง...

ตั้งแต่ผลสอบวิชาทรัพย์ที่เราได้น้อยที่สุดในบรรดาทุกวิชาของเทอมนี้แล้ว ข้อ 5 ข้อสุดท้าย.. ได้ 6 คะแนน รวมคะแนนได้ 69
พระเจ้าช่วย ! ( ไม่มีกล้วย)
ทำได้นี่นา เขียนกวาดเก็บประเด็นเล็กประเด็นน้อยทุกบรรทัด ธงก็ถูก ไม่อยากเชื่อเลยว่าจะได้เท่านี้ เพราะรู้ตัวว่าคะแนนวิชานี้จะฮวบที่ข้อ 3 แต่ สองข้อหลังไม่ควรต่ำกว่า 18

นึกในใจ " ได้ 6 ได้ไงวะ "
อารมณ์ที่วานเพื่อนดูคะแนนให้เพราะขาเดี้ยงไม่ค่อยอยากไป อีกอารมณ์นึงคือ...น่าจะไปดูเองจะได้ ขอทำเรื่องดูสมุดคำตอบ กูพลาดตรงไหน...

ยังไม่ทันไร วิชาค้ำประกันออกอีก เพื่อนโทรมาบอกว่า ข้อ 5 ก้อยหายนะ เป็น ? ไม่มีคะแนนบอก
อ้าว.... ชีวิตกู เป็นเหี้ยไรเนี่ย... ทั้งสองวิชาเลย

ประสาทจะกิน นอนไม่หลับทั้งคืน คิดว่าข้อ 5 หาย แสดงว่าหายไปทั้งสมุด มันเกิดไรขึ้นเนี่ย เป็นไปได้ไหมที่เราสอบห้องข้างล่างไม่เหมือนชาวบ้าน ทำให้เจ้าหน้าที่เขารวบรวมสมุดคำตอบเราพลาดไป รีบโทรไปห้องสำนักทะเบียน ไม่มีคนรับเลย โทรไปห้องอาจารย์ปิติกุล ก็ไม่มีคนรับ ยิ่งประสาทหนักไปใหญ่ แต่ก็คิดว่าคงเย็นมากแล้ว ทำอะไรไม่ได้...
คืนนั้น นอนไม่หลับเลย... เช้าวันรุ่งขึ้นตัดสินใจไปคณะเองดีกว่า


ไปถึงเป็นวันลงทะเบียนซ่อมของน้องภาคปกติ คนฮึ่มมาก เจ้าหน้าที่หน้าหงิกกว่าทุกครั้งที่เคยเห็นเลย แต่โชคดีที่มีน้องปุ๊ก กะน้องระ คอยช่วยเหลือหยิบเอกสารและบอกข้อมูลต่างๆให้ โชคดีชั้นที่ 2 อีก เมื่อได้เจออาจารย์สมเกียรติเอง ทำให้ได้รื้อสมุดทรัพย์มาดู
อ้าว..ก็ได้ 16 นี่หว่า แล้วทำไมให้เราแค่ 6 วะ... หายไป 10 คะแนน

" เจ้าหน้าที่คีย์ข้อมูลผิด" จาก 16 เหลือ 6 ตัวเดียว... หึหึ ( ตอนนั้นดีใจ ขอแก้คะแนน แต่จริงๆ แอบคิด ทำไมกูได้น้อยวะ แค่ 16 เอง ยังแอบไม่พอใจเล็กน้อย 555)

ส่วนวิชาค้ำประกัน เจ้าหน้าที่บอกว่า สมุดหาย... เราก็ไม่สนมันละ
ไปหาอาจารย์เองดีกว่า ไปถึงอาจารย์บอกว่ามีบางคนทำผิดเล่มไปรวมกับของอาจารย์สุดา ให้รอคะแนนออกอีกทีก่อนเพราะเพิ่งส่งคะแนนระลอก 2 ไป ถ้าไม่มีอีก ก็แสดงว่าหายจริง แต่เดี๋ยวจะดูให้...

ก่อนหน้านี้เราเคยได้ยินข่าวมาว่าเคยมีการสมุดหายแบบนี้แหละ หาไม่เจอแล้วอาจารย์ให้ 16 คะแนน ซึ่งตอนนั้นเราคิดว่าไม่คุ้มอยู่ดีเพราะข้อนี้เราทำได้ มันควรได้เกิน 16 มันออกเรื่องจำนองครอบเพียงใด ซึ่งไม่ได้ยากเลย


แล้วพอคะแนนเราออก เราก็ได้ 16 จริงๆ ทั้งที่ข้อนั้นเราทำได้อีกละ แต่ทำไมคะแนนไม่ดีก็ไม่รู้ดิ.. บังเอิญว่าตรงกับที่ได้ข่าวมาด้วยว่าถ้าเขาหาไม่เจอจริงๆ เขาจะให้ 16...


เห้อ....

ถัดมาอีก 2-3 วันหลังจากคะแนนออก
เราไปสอบหนี้ ที่คณะ
ได้ที่นั่งหน้าสุด ซึ่งเป็นที่วางสัมภาระต่างๆ ของเพื่อนๆ ที่มาสอบ
เราก็รำคาญมากกับเสียงโทรศัพท์ที่ดังไม่หยุดของเพื่อนร่วมห้อง ทำไมมันมารยาทแย่ยังนี้ ทำไมมันขี้ลืมไม่ได้ปิดเครื่องกัน หนำซ้ำ.. บางคนไม่ได้ดังธรรมดาแบบเสียงเพลง แต่มันเป็นเสียงตั้งนาฬิกาปลุกเว้ยยยยยยยยยยยย
อยากจะฆ่ามันจริงๆ เสียสมาธิมาก เพราะดังไม่หยุด

เจ้าหน้าที่ในห้องก็เป็นบุคคลไร้ความสามารถในการแก้ไขปัญหา นั่งเฉย เฉย เฉย.. ทั้งๆ ที่เสียงดังแบบนั้นตลอด จนเรากะพี่ผู้ชายคนนึงพูดมาว่า มันดังมาจากใบไหนบ้างให้เอาออกไปที่อื่นได้ไหม

เจ้าหน้าที่ก็ขยับตูดลุกขึ้นมาหยิบแบบเนือยๆ แล้วเอากระเป๋าไปไว้ห้องที่เอ็ดดี้

อ้าว...ก็ดังข้างๆโสตประสาทกูอยู่ดีน่ะแหละ
แต่ไม่ได้พูดอะไรต่อแล้ว เสียเวลา แค่นี้ยังจะเขียนไม่ทันอยู่แล้วเลย


ทำข้อสอบไปสักพัก... รู้สึกเหมือนมีคนมองเราตลอด ( คนเราเวลาเจอมองมักจะรู้ตัวนะ ว่ามะ) ก็เลยเงยหน้าขึ้นมาเพื่อมองไป และเพื่อพักสายตาด้วย ปรากฏว่าเจอเจ้าหน้าที่ผู้ชายมันมองเราอยู่อ่ะ มันนั่งริมบนเวที ตรงโต๊ะตั้งโปรเจคเตอร์ มองลงมานี่จะเห็นเราชัดเลย พอเรามองมัน มันก็หลบสายตาไปมองที่อื่น เราก็ตะหงิดๆ แต่ก็ทำข้อสอบต่อไป ไม่ได้คิดอะไรต่อ...

สักพัก เราทำข้อสอบก็รู้สึกว่าถูกมองอีก เราเลยเงยหน้าขึ้นมา ก็เจอมันมองเราอีกอ่ะ... มันก็หลบสายตาเราอีก
สักพัก เราก็รู้สึกอีก เลยตั้งใจไม่เงยหน้าเพราะมันจะหลบสายตาทัน เราตวัดแต่ลูกตาขึ้นมามองมันแบบรวดเร็ว

ทีนี้ จจังงๆ ๆๆๆ เลย
เราเห็นมันมองขาเราอยู่ เราใส่กระโปรงสั้นเหนือเข่าแต่ไม่มาก และก็เป็นเรื่องปกติด้วยที่มันจะถกขึ้นมาเวลาที่เรานั่ง ยิ่งทำข้อสอบไปก็ไม่ได้ระวังตัว ทำให้ไม่รู้ว่ามันถกขึ้นมาสั้นกว่าเดิม...

พอเรามองมันคราวนี้ แม้มันจะหลบสายตาของมันในตอนแรกไม่ทัน แต่เราก็เห็นจังๆ แล้วว่ามันมองอะไรเราอยู่ เราพยามดึงชายกระโปรงลงมายาวๆ และเอากระเป๋าดินสอปิดช่องว่างระหว่างขาไป

แต่สักพัก... เราก็รู้สึกอีก

แม่ง!
ไม่ไหวแล้ว
เลยลุกขึ้นมาเดินไปเอากระเป๋าของตัวเอง ทำให้เจ้าหน้าที่ผู้หญิงถามว่าจะเอาอะไรคะ / มีอะไร
เราเลยบอกไปว่า " จะเอาเสื้อหนาวในกระเป๋าออกมาปิดขาค่ะ เพราะว่าเจ้าหน้าที่ผู้ชายคนนี้มองขาตลอด "



แล้วความเงียบก็เกิดขึ้น....

วันพฤหัสบดี, เมษายน 06, 2549

จันไรราชดำเนิน

บังเอิญไปอ่านเจอ ...http://www.nitade35.com/?action=show&topic=2101

รู้สึก จันไร มาก

นี่คืออีกตัวอย่างของการคุกคามสื่อ และสื่อยินดีจะถูกคุมคาม

วันอาทิตย์, เมษายน 02, 2549

ไปเลือกตั้งมา...

ตื่นแต่เช้าเพื่อไปเลือกตั้ง ไปถึงเป็นคนแรก ๆ เลย

แต่ก็แปลกใจ
1.ครั้งนี้เป็นครั้งแรก ที่ต้องมีตายางใช้ เมื่อคืนก็ได้ฟอเวิดเมล และ เมสเสจจากอาจารย์ จากเพื่อนๆ ให้เตรียมปากกาไป ไม่ให้ใช้ตรายางของมัน
2.ครั้งแรกอีกแหละ ที่จัดสถานที่ได้เอื้ออำนวยแก่การโกงกันง่ายมากขึ้น
มีการจัดคูหา หันหน้าออก ทั้งๆที่จากเดิมจะหันเข้าหาผนัง กำแพง
แต่คราวนี้... คูหาหันออก และจัดที่แคบกว่าเดิมมาก... งงว้ะ สถานที่ก็ที่เดิม ทำไมวางโต๊ะเจ้าหน้าที่กับคูหาโคตรจะติดกันเลย...



คูหาห่างกับโต๊ะเจ้าหน้าที่ 50 เซน. ----> นี่อ่าหรอ.. ความลับ


แปลกอีกอย่าง.. เรื่องตรายางยังพอรู้ล่วงหน้าหน่อยนึง แต่เรื่องคูหาหันหน้าเชิญชวนคนนอกให้เห็นว่าเราเลือกกาช่องไหนเนี่ย ไม่มีการประกาศอะไรมาก่อน รู้สึกเหมือนภาวะมัดมือชก..

พอถามเจ้าหน้าที่ตามประสาคนปากมากไปว่า " พี่ๆ ทำไมคูหาหันหน้าออกอ่ะ อย่างนี้ก็เห็นหมดสิว่ากาช่องไหน"
โอว.. คำตอบสุดหรู กลับมา คือ " ไม่รู้ เขาสั่งมา"

เรานึกในใจ ......" ตอบได้เหี้ยจัง "


ทำให้นึกไปถึงต่างจังหวัด ระดับรากหญ้า สมมุติหัวคะแนนพาไปเลือกตั้ง... เมื่อก่อนเราจะได้ยินคนสอนมาว่า รับเงินได้แต่ตอนเลือก ก็ไม่ต้องกาเลือกมัน เรามีสิทธิจะเลือกใครก็ได้

กรณีนี้ ถ้าหัวคะแนน หรือ เจ้าหน้าที่เป็นหนอนบ่อนไส้สะเอง .. สบายมากเลยนะ แค่มองว่ามือของชาวบ้านกากบาทบริเวณใด...ก็รู้แล้ว

ระหว่างเบอร์ 2 กับ ล่างขวา ระดับมือมันต่างกันมาก ยังไงก็สังเกตุเห็นได้...

นี่หรือ " ความลับ " ม.104 ใช่มะ
สร้างภาวะกดดันให้รู้สึกว่าจะต้องลำบากใจในการเลือกก็แย่แล้วนะ คนเดินผ่านไปมาจ่อกแจ้กเลยด้านหลังเรา คนต่อแถวก็เห็นเราเลือก เจ้าหน้าที่ก็เห็นเราเลือก

การเลือกตั้งครั้งนี้เป็นครั้งที่โสมมมากที่สุดแล้วแหละ อยากให้โมฆะ แต่ก็คิดถึงงบสองพันล้าน... ประเทศชาติเสียหายเพราะมึงคนเดียว...

จริง ๆน่าจะเอาคูหา กับโต๊ะเจ้าหน้าที่ไว้ที่เดียวกันเลยนะ แล้วเวลาจะเลือกเบอร์อะไร ช่องไหน ก็บอกเจ้าหน้าที่ให้กาให้เลยดีมะ

เหมาะเจาะจริงๆ.. ที่จะต้องเป็นการเลือกตั้งครั้งนี้พอดี....


4.อาจารย์รัฐศาสตร์ จุฬาฯ ฉีกบัตร -----> จะด่ากันทำไม
บ้างด่าสถาบัน ( ได้โอกาสพาล มีอะไรก็จ้องเล่นงานสถาบันก่อนอยู่แล้วกลุ่มคนพวกนี้) บ้างด่าความเป็นอาจารย์ไล่ไปสอนควาย ( ถ้าควายเอนท์ติดจุฬา กูก็อยากรู้ว่าไอ้คนด่าในพันทิพย์เอนท์ติดที่ไหน )

ทำไมต้องด่า ด่าแล้วได้อะไร แสดงเหตุผลไม่ได้ เงียบๆ ไปดีกว่า นั่งอ่านได้ไม่หมด พบแต่ข้อความสาดเสียเทเสียเต็มไปหมด มีแต่อารมณ์รุนแรงจนไอ้เราคนอ่านก็พลอยโมโหตามไปด้วย

แต่ละคนก็มีความคิด มีจุดยืนของตนเอง เขาเลือกแล้ว เขาได้รับผล เขายอมรับผล ....
โอเค.. เข้าใจว่าผิด กม.เลือกตั้ง แต่อาจารย์เขาก็เลือกแล้วที่จะแสดงจุดยืนของตนเอง
เขาตัดสินใจแล้ว ...เลือกแล้ว และกล้าพอที่จะยอมรับว่าทำผิด แต่เพราะไม่ต้องการเป็นส่วนฟอกความถูกต้องให้ " มัน "
แล้วไงอ่ะ??????~

คนมักด่าแต่การกระทำของเขา
น่าจะมองสาเหตุที่ทำให้ต้องทำบ้าง ว่ามันสะท้อนอะไรบางอย่าง...

เขาก็ยอมรับการกระทำของเขานะว่าเขาผิด .. ดีกว่าพวกโกงภาษีเจ็ดหมื่นสามพันล้าน ซุกหุ้น ขายไฟฟ้า ฯลฯ แต่ไม่เคยยอมรับเลยว่าตัวเองผิด


5.อาจารย์ธุรกิจบัณฑิตย์ กรีดเลือดอีกราย....
ไปดูข่าวต่อดีกว่า