*STYLE TYPE="text/css"> p {align=justify} BODY{cursor: url(http://ourworld.cs.com/dollielove6/uc4.cur);} a {cursor: url(http://ourworld.cs.com/dollielove6/uc4.cur);} */STYLE> Bakery Idea From me :): อารมณ์ "เฉิ่ม" อ่ะ

Bakery Idea From me :)

วันพุธ, พฤษภาคม 25, 2548

อารมณ์ "เฉิ่ม" อ่ะ

อารมณ์เซ็งๆ เลยนึกอยากดูหนัง ไปดูคนเดียวก็ได้ ไม่รอเพื่อนแร้ววว

วันนี้ได้มีโอกาสไปดูหนังเรื่องเฉิ่ม เอ่อ..เฉิ่มจริงๆ ด้วยเนอะ เพราะเขาออนแอร์มานานจนจะออกโรงแล้ว เพิ่งจะได้ไปดู
เงินมีอยู่ในกระเป๋าทั้งหมด 120 ยังกล้าก้าวเท้าออกจากบ้านไปดูหนัง...
โอ๊ย คนเรา
ทำไมใจกล้าเช่นนี้ ค่ารถเมลสาย 146 ตอนไป 5 บาท ดูหนังอีก 100 ขากลับเหลืออีก 10 บาท ...
ชีวิตหนอ .......ถ้าเหยียบถังกะปิใครเขาแตกคงไม่ได้กลับบ้าน 5555

……………………………………………


ไม่ได้รู้สึกเสียดายเงิน 100 บาทกะหนังเรื่องนี้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าหนังดีนะ ที่บอกว่าไม่รู้สึกเสียดายเงินเพราะวันนี้ ตั้งใจจะออกไปนั่งเฉยๆ แล้วปล่อยอารมณ์กับหนังเรื่องอะไรก็ได้สักเรื่องหนึ่งพอแล้ว (เป็นอารมณ์ดูหนังแบบหนึ่ง ) ซึ่งหากพิจารณาตามวัตถุประสงค์ของก้อยแล้ว ..ใช่ มันตอบโจทย์ได้บรรลุผล ; )

หนังเรื่องนี้เปิดฉากได้ดี

1. กล้องเริ่มด้วยมุมมองของแท็กซี่คนหนึ่ง ชื่อ สมบัติ ดีพร้อม ( หรือ พี่บัติ หรือ..หม่ำ จ๊กมกน่ะแหละ ) มีอุปนิสัยและตัวตนที่ผู้สร้าง พยายามทำให้เป็นตัวแทนของคนขับแท็กซี่ที่มาจากต่างจังหวัดทั่วไป คือ ชอบฟังวิทยุ AM เพลงเก่าๆ รายการละครวิทยุ ( แต่จะขัดกับความเป็นจริงในความเห็นของเรา ตรงที่ AM แต่ดันชอบสุนทราภรณ์ แทนที่จะชอบลูกทุ่งหมอลำ และมันขัดกับ character ของตัวเอกเรื่องด้วย เพราะเราอาจติดภาพเดิม คือ ความเป็นคนอีสานของหม่ำ มากกว่า ) สมบัติทำงานหาเช้ากินค่ำ เช่าบ้านอยู่แฟลต ฝากท้องไว้กับร้านข้าวต้มเลือดหมูเจ้าประจำไม่เคยเปลี่ยน


1.1 ฉากแรกที่คิดว่าขัดในเรื่องของมุมกล้อง ก็คือ เปิดด้วยมุมมองของแท็กซี่ ที่เราคิดว่าผู้สร้างพยามจะเสนอให้เรารู้สึกถึงกิจวัตรประจำวันที่แท็กซี่ต้องเจอ กล้องแพนตามสายตาของคนขับรถ แต่หากพิจารณาดูดีๆ จะพบว่า ตำแหน่งของกล้องมันอยู่ที่ข้างคนขับอ่ะ เลยดูไม่สมจริง เหมือนกับกล้องนี้จะทำหน้าที่ผู้โดยสารที่นั่งข้างคนขับเสียมากกว่า เพราะว่าเราจะเห็นไฟแดงๆ ที่เขียนว่า ( ว่าง ) และใบอนุญาตขับรถของแท็กซี่อยู่ตรงกลางมากกว่าทางซ้าย เราว่าเขาไม่ละเอียดตรงนี้นะ และบังเอิญฉากนี้มัน loop เยอะด้วยวนไปวนมาช่วงแรกจนทำให้รู้สึกได้ไม่ยากเลย


2.นำเสนอนางเอกของเรื่อง คือ นวล ( นุ่น วรนุช ) ในมุมมองที่มีความคล้ายกันกับพระเอก แง่มุมของการประกอบอาชีพกลางคืน ชีวิตของผู้หญิงกลางคืนที่ต้องคอยให้บริการ ส่งเงินให้ทางบ้านโดยเอาตัวเข้าแลก ภายในเรื่องแสดงให้เห็นถึงความลำบากซ้ำซากบนหน้าที่ที่ตัวเอกทั้ง 2 ได้เผชิญ คือ คนขับแท็กซี่ที่ต้องคอยรองรับอารมณ์ผู้โดยสาร การทำความสะอาดรถ ผู้หญิงกลางคืนที่ต้องเป็นที่รองรับอารมณ์ของแขกทุกประเภท และสิ่งที่คล้ายกันอีกอย่าง คือ การต้องพา “ ลูกค้า ” ของทั้งคู่ไปสู่จุดหมายแต่ไม่รู้ว่าจุดหมายของตนเองอยู่ที่ใด....


3.เรื่องความเป็นตัวตนของตัวเอกในเรื่อง หากพิจารณาจากสปอต โฆษณา โปสเตอร์ที่เห็นแล้วจะพบว่า ทางการตลาดเน้นการนำที่ conflict ตัวตนของตัวแสดงหลัก คือ หม่ำ ความเป็นตลก กับนุ่น ความเป็นนางเอก
จะพบข้อความ “ หม่ำจะรักนุ่นจนคุณน้ำตาซึม ” ถูกใช้ในการประชาสัมพันธ์ เพราะสังเกตุจะเห็นได้ว่าเลือกที่จะเสนอชื่อจริง แต่ในขณะเดียวกันในภาพยนตร์จะใช้อีกชื่อหนึ่ง มีความรู้สึกว่าทีมงานควรมีจุดยืนในการนำเสนอที่ชัดเจนกว่านี้ เพราะหากตั้งใจนำเสนอความเป็นตัวตนที่ค้านกันของตัวเอกแล้ว ในหนังก็ควรจะนำเสนอคาแรคเตอร์ของตัวจริงที่เราเห็นออกไป กล่าวคือ ควรเป็นไปในแนวทางเดียวกัน

แต่จะพบว่าในหนัง สมบัติ กับ นวล ซึ่งมีคาแรคเตอร์แตกต่างจากตัวจริงที่สังคมรับรู้ โดยเฉพาะสมบัติ คือ สมบัติเหนียมอาย สุภาพ ส่วนนวลเป็นหญิงมั่น แต่ภายในเรื่องก็นำเสนอได้ไม่สุดอยู่ดี ที่ตัวสมบัติบางครั้งพยายามตลกสไตล์มุขหม่ำ แต่ให้ตัวเป็นสมบัติ จะขำก็ไม่สุด จะสุภาพขี้อายน่ารักก็ไม่สุด เลยดูคลอนแคลนในประเด็นของคาแรคเตอร์ที่ไม่สุดไปสักทาง...


4. เนื้อเรื่องมีการคั่นด้วยละครวิทยุ หรือละครสไตล์ Soap Opera ยุค 70 ใช้ในการดำเนินเรื่องจนเฟ้อ ฉากแสดงความรู้สึกนึกคิด ฉากไคลแม็กซ์ของเรื่องแทบจะ “ เนียน ” และแยกไม่ออกเพราะถูกคั่นอย่างอู้ฟู่ในเรื่องนี้... เมื่อดูแล้วเกิดความรู้สึกติดตามก็จะมีละครมาคั่นจนทำให้เสียอรรถรสไปมาก เข้าใจว่าผู้สร้าง อาจอยากสื่อให้เห็นถึงความคิดการเปรียบเทียบตนเองของคนกลุ่มนี้ ที่มักจะนึกถึงบทละครว่าตนเองเป็นพระเอก นางเอกเมื่อเจอปัญหา อุปสรรคใดๆ ในชีวิตจริง


5.เพลงที่ใช้ในการดำเนินเรื่อง ใช้เพลงสุนทราภรณ์ ในการสื่อความรู้สึกของตัวเอกและฉากสำคัญของเรื่อง แต่ก็เกิดความรู้สึก “ เฟ้อ” เช่นกัน เพลงบางเพลง เช่น ปองใจรัก ถูกใช้จนเฟ้อ ทั้งที่ควรนำวรรคทอง ( พี่คอย น้องคอย ต่างคนต่างคอย แต่บุญเราน้อยหนักหนา คอยเจ้า เจ้าไม่มา ... ) มาเข้ากับฉากสำคัญของเรื่อง คือ ฉากที่พระเอกและนางเอกต่างรอคอยกัน โผล่ฉากนั้นจะโดน “ ปึ้ง ” กว่า และเพลงบางเพลงยังใช้ได้ไม่ “โดน” กับฉากที่ควรจะใช้ เช่น เพลงหนึ่งน้องนางเดียว ( ยลพักตร์เชยพิศ น่าเชยชิดชม แม้ได้สมดังใจนึกปอง พี่คอยประคอง ...) แต่เพลงที่คิดว่าใช้แล้ว “ได้ใจ” ในเรื่องมากๆ ก็มี เช่น ฉากที่สมบัติถูกโจรจี้เงินและทำร้ายร่างกาย ใช้เพลง บรรเลงท่อนที่ว่า “ โอ้ กรุงเทพเมืองฟ้าอมร .. สมเป็นนครมหาธานี ...”


6. แฮนบิล และของแถมที่แจกมา คือ ตุ้กตากระดาษรูปรถ และโบตัน ในเรื่องจะพบการโฆษณา( แฝงแบบโคตรจงใจ ) คือ พระเอกกินโบตันโชวตลอด นางเอกตอนช่วงหลังก็กิน ( หนังมันทำได้ไม่เนียนเลยอ่ะ ) .... และรถแท็กซี่คันเดิม ในฉากท้ายๆ ที่สื่อให้เห็นว่าสมบัติได้กลับออกมาจากคุก มาพบกับรถที่ตนเคยขับ กล้อง close up ไปที่ กท.รถยนตร์ คือ ทน 2514 มองเห็นสติ้กเกอท้ายรถเดิมๆ เหมือนเรื่องพยามจะเน้นให้ระลึกถึงเหตการณ์เก่าๆ ได้ คิดว่า รายละเอียดเช่นนี้เป็นจุดสำคัญของเรื่องพอสมควร... แต่แฮนบิลและของแถมที่ได้มา เป็นรถแท็กซี่ กท . ทน 6131 ทำให้ “พลาด” ไปมาก


7. การดำเนินเรื่องที่มีการตัดไปหาบทละครเก่าเสียเยอะ สลับกับเพลงเก่าจนเฟ้อ ทำให้ติดตามแล้วอารมณ์หลุด / โดดไปมาก ประกอบกับฉากเพ้อฝัน “ innovated อาเอื้อ ” ทำคนดูในโรง งงไปตามๆ กัน ( ไม่รู้ว่ามีทำไม)
และสาระที่จะแทรกในเรื่องย้ำๆ ก็ คือ " การเป็นคนดีที่จะต้องดีตลอดไปไม่ว่าจะมีเหตุการณ์ทำให้คิดทำชั่วได้เพียงใด" เหมือนผู้กำกับพยายามจะยัดเยียดให้คนดูว่า เออ ต้องรู้นะๆ แทนที่จะปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ คือ คนดูคิดเองได้

สุดท้าย ( เท่าที่คิดออกตอนนี้ ) อดนึกถึงหนังเรื่อง Serendipity ไม่ได้ เพราะเนื้อเรื่องทั้งหมดเสนอถึงการพบเจอ / พลัดพราก / และกลับมาเจออีกครั้งหนึ่งโดยบังเอิญ ไม่มีแง่คิดเจ๋งๆ อะไรซ่อนอยู่เท่าไรนัก ( อาจคิดได้ว่า จะเอาไรมากมายกะหนังที่ตั้งใจจะให้ตลกแบบนี้เนอะ) ตอนจบของเรื่องเหมือนตั้งใจขมวดให้จบ โดยเร็วด้วย

2 Comments:

  • At 8:36 หลังเที่ยง, Anonymous ไม่ระบุชื่อ said…

    เห็นที่...ต้องรอ ดีซีดี ออก แล้วจะให้พ่อส่งมาให้บ้าง
    เห็นวิจารณ์แล้วชักอยากดูขึ้นมาตะหงิดๆ

    และมีโครงการว่า กลับเมืองไทยแล้ว น่าจะนัดคุณเจ้าของบล๊อกไปดูหนัง หรือ ยังไงก็ได้ที่ไปดูหนังแล้วเอามาวิจารณ์กัน ท่าทาง..น่าหนุก..

    หนังเรื่องสุดท้ายที่ดูคือ ลิเกอวกาศ-stars wars ไม่มีเวลาได้ดูหนัง เพราะ..แงๆๆ ไม่มีเพื่อนดูด้วย และที่เศร้ากว่านั้นคือ เพราะสอบๆๆๆ มาตลอด เพิ่งสอบเสร็จวันนี้เอง (ไม่ได้หายไปไหนน้า..อ่านบล๊อกอยู่ค่ะ แต่ไม่ได้ส่งเม้นต์)

    เลยจะบอกเล่าแค่เรื่องโรงหนังของฝรั่งเศส..นั่นคือ..

    โรงหนังของที่นี่ ตั๋วราคาเท่ากันทุกที่นั่น ใครมาก่อนได้ก่อน ไปจองกันเอาเอง และเท่าที่ผ่านมา ไม่พบว่า จะมีหนังเรือ่งไรเต็มแน่นเอี๊ยดเหมือนโรงบ้านเรา ..แม้จะเป็นหนังที่เข้าวันแรกสุดฮิตก็ตาม

    หนังใหม่จะเข้าทุกวันพุธ และไม่มีหนมกิน ข้าวโพดป๊อปคอร์น หรือ สารพัดของขบเคี้ยวเหมือนบ้านเรา แถมเอาเข้าไปกินก็..นะ..แปลก..

    เคยไปดูหนังฝรั่งเศสเรื่องนึง ประทับใจจนถึงวันนี้ ไม่ใช่เพราะว่าหนังสนุกมากกก แต่เป็นเพราะว่า...

    ตั้งแต่ต้นเรื่องจบจน..นั่งดูอยู่คนเดียวทั้งโรง..เสียเงินไปหกยูโร..ยังกะดูโฮมเธียร์เตอร์อยู่บ้านแน่ะ...โรงหนังมันก็สปิริตดีจริ๊ง..อุตส่าห์ฉาย..

    เออ..วันนี้ไปดูหนังดีก่า มีหนังรัสเซียเข้ามา แล้วยังไงจะมาเล่าให้ฟังค่ะ

     
  • At 10:17 ก่อนเที่ยง, Blogger suthita said…

    ขอบคุณสำหรับคอมเม้นค่า
    โทษที ไม่ค่อยได้เข้ามาเช็คเลย

    ล่าสุดนี่
    เราอยากดู Wars of the world (สะกดงี้ป่าวหว่า)


    แต่เรื่องเฉิ่ม... ถ้าดูขำๆ ก็พอทนไหวนะคะ
    แต่ถ้าคาดหวัง ..บอกได้เลยว่า ไม่ไหวง่ะ


    " มีหนังรัสเซียเข้ามา แล้วยังไงจะมาเล่าให้ฟังค่ะ "
    แล้วมาเล่านะคะ
    ;)

     

แสดงความคิดเห็น

<< Home