*STYLE TYPE="text/css"> p {align=justify} BODY{cursor: url(http://ourworld.cs.com/dollielove6/uc4.cur);} a {cursor: url(http://ourworld.cs.com/dollielove6/uc4.cur);} */STYLE> Bakery Idea From me :): คิดว่าคนเราทุกวันนี้แปลกมากขึ้นไหม

Bakery Idea From me :)

วันอังคาร, พฤษภาคม 03, 2548

คิดว่าคนเราทุกวันนี้แปลกมากขึ้นไหม

นี่อาจเป็นคำถามชี้นำ แต่ก็อดคิดเช่นนี้ไม่ได้จริงๆ หลังจากที่วันนี้ทำงานหนัก เพราะเจอกระทู้ชวนหัวเสียเข้าขั้นเต็มเวบบอร์ด....


อีก 1 งานที่เรารับผิดชอบในโลกอินเตอร์เนตนี้ คือ การดูแลความเรียบร้อยของเวบไซต์หนึ่งที่มีกระทู้ผุดขึ้นอย่างต่ำวันละ 500 คำถาม( ไม่รวม reply เป็นพันๆ ที่จะต้องผ่านตาเราทั้งหมด ) ยิ่งช่วงใกล้ประกาศผลเอนทรานท์... เหอเหอ ความสะบักสะบอมยิ่งทวีคูณ เรายิ่งต้องทำหน้าที่กลั่นกรองเนื้อหาที่ไม่เหมาะสมออกไปมากขึ้นเท่านั้น....


มันชินแล้วล่ะ บนหน้าที่ความรับผิดชอบที่เราทำมา จนป่านนี้...( อย่ารู้เลยว่ากี่ปีมาแล้ว เดี๋ยวจะพาให้นึกถึงอายุ อิอิ )


แต่บน “ความชิน” ของเรานั้น . ..เ รารู้สึกได้ ถึงความเปลี่ยนแปลงไปในแง่ลบของสังคม ( ไทย )


1. เราพบว่า มีกระทู้ถามเกี่ยวกับเรื่องเพศมากขึ้น ...

จริงอยู่ เรื่องเพศศึกษาเป็นเรื่องที่ไม่ควรปิดจนมิ้ดดดดดดดดด เสียจนเด็กๆวัยอยากรู้จะต้องพยายามหาคำตอบด้วยตนเอง เราจึงมี “เกณฑ์เงาๆ” ให้แก่กระทู้ประเภทนี้ ว่า หากเด็กๆ ตั้งคำถามที่เป็นประโยชน์แก่ตนเองและผู้อื่นพอสมควร ก็จะปล่อยกระทู้ชนิดนี้ให้ปรากฏในเวบไซต์ได้ชั่วระยะหนึ่ง...เมื่อมีคนตอบหรือให้ข้อมูลคำแนะนำพอสังเขปแล้ว เราจะทำการลบกระทู้เหล่านี้เสีย

ด้วยถือว่า ผู้สื่อสารได้ทำการสื่อสารบรรลุตรงตามวัตถุประสงค์แล้ว กล่าวคือ มีการถาม มีคนตอบได้ตรงคำถาม (แม้อาจจะไม่ถูกใจ) เพื่อมิให้เกิดวัยรุ่นในเวบนำมาเป็นเยี่ยงอย่างตั้งกระทู้เช่นนี้บ้าง..มิฉะนั้นคงจะเห็นเรี่ยราดเต็มเวบ เช่น กระทู้ “…หน้า 7 หลัง 7 มันคืออะไรหรอ....” เป็นต้น


+
+
+




2.เราพบว่าสังคมไซเบอร์เป็นสังคมที่ “กว้างแต่แคบ ” เป็นอย่างไร???

คำว่า “ กว้างแต่แคบ ” ก็ คือ เราคิดว่าการมีเวบไซต์ หรือการทำเวบบอร์ดให้แสดงความคิดเห็นไม่ว่าคุณจะอยู่ที่ไหน เมื่อใด เป็นใคร ก็สามารถถ่ายทอดแนวความคิดของตนเองออกมาได้เสมอเป็นเรื่องที่เปิดกว้างมาก แต่สิ่งที่แคบก็คือ ตัวคนเล่นเอง....

เมื่อสังคมออนไลน์มีการสื่อสารที่ไม่พบปะหน้าตากัน ไม่มีใครรู้ว่าเราเป็นใครแล้ว บ้างก็ใช้โอกาสนี้แสดงความเห็นของตนไปในแนวเผย “ สันดาน ” แต่ไม่ “ สันดาป” ทางความคิด ด้วยการใส่ร้ายป้ายสี ปล่อยข่าว ใส่อารมณ์ สร้างกระแส หรือแม้แต่ ด่ากราด มากกว่าจะใช้อินเตอร์เนตเพื่อแสวงหา แลกเปลี่ยนความรู้

บ่อยครั้งที่เราต้องลบกระทู้ที่มีแต่คำผรุสวาทออกไป เห้อ...


+
+
+




3. เราพบว่าแต่ละวัน มีเวบไซต์เกิดขึ้นใหม่อย่างมากมายมหาศาล

แล้วก็มาโปรโมทในเวบเราจนกลายเป็นกระทู้ขยะ
เพราะหาได้ส่วนน้อยที่จะเป็นเวบแนวสร้างสรรค์ประเทืองปัญญา แต่จะเป็นไปในลักษณะ..เวบเกมส์ออนไลน์ หาคู่ หรือโพสรูปคนจน( ไม่มีเสื้อผ้าจะใส่) เมื่อถูกแบนหรือปิดเวบไซต์ไป ก็จะหาวิธีเปิดไซต์ใหม่ น่าแปลกที่เวบเหล่านี้ไม่ต้องลงทุนมาก ไม่ต้องโปรโมทก็มักมีคนตามหาเจอเอง

เรามองว่าการใช้อินเตอร์เนตของเด็กในประเทศไทยบางกลุ่มยัง “เส็งเคร็ง” อยู่มาก อะไรที่ทำให้เราคิดแบบนั้น... เพราะเรามองจากการอ่านหัวข้อกระทู้รายวัน ทั้งจากเวบของเราเอง และเวบไซต์ชื่อดังอื่นๆ หัวข้อกระทู้ที่พบมาก คือ เรื่องเพศ เรื่องเกม และแชท

เป็นเรื่องที่ควรตระหนักอย่างมาก หากวัยรุ่นบ้านเราใช้เวลาหมกมุ่นไปกับการแชท หาแฟนในเนต เกม หรือเข้าเวบที่ผิดศีลธรรมเช่นนี้ ประเทศชาติจะเป็นอย่างไร การที่จะดูภาวะความหมกมุ่นของวัยรุ่นในปัจจุบันนั้น ดูไม่ยากเลย ลองคลิกอ่านหัวข้อกระทู้ตามเวบบอร์ดดูสิ....มันสะท้อนอะไรๆ ได้ดีเชียว ...



+
+
+




4.เราพบว่า จิตสำนึก ความรับผิดชอบของทุกคนหายไป ( แม้แต่ตัวเราเองมั้ง )

มองในแง่ผู้ส่งสาร ในที่นี้ คือ ผู้จัดทำเวบไซต์ มองในแง่ผู้รับสาร ในที่นี้ คือ เด็กวัยรุ่น
ผู้ส่งสารขาดจิตสำนึกในการเสนอข้อมูลที่มีประโยชน์ ขาดความเป็นสื่อในอุดมคติ ( หรือมันคงเป็นได้แค่อุดมคติจริงๆ เพราะตกอยู่ในวังวนของทุนนิยม ใครก็ต้องกินต้องใช้) มองแต่ผลประโยชน์ที่ตนจะได้รับจากสปอนเซอร์ รายได้ตอบแทน มากกว่าสิ่งที่ควรจะเป็น

ผู้รับสารเองก็ขาดจิตสำนึกในการใช้ทรัพยากร คลังความรู้จากอินเตอร์เนตให้เกิดประโยชน์ ซ้ำยังเต็มใจรับสารเน่าๆ ที่ไม่ก่อประโยชน์ใดเลยเว้นแต่เพิ่มอารมณ์รัก โลภ โกรธ หลง ให้แก่ตนเอง



+
+
+




5.เราพบว่า ทุกวันนี้ คนเราพยายาม “ เสนอ ” ความเป็นตัวเองให้ผู้อื่นรับรู้

ประกาศความเป็นตัวตนมากขึ้นท่ามกลางความหลากหลายที่มีมากขึ้นตาม จึงเป็นที่มาของความพยายาม “ ขุด ” ความแปลกในตัวให้มากขึ้นตามไปด้วย
( มันทำเพื่ออะไร จะบ้ากันไปใหญ่แล้ว )


ทุกท่านคงได้ยินคำว่า “ อินดี้ ” หรือ “ เด็กแนว ” ยิ่งแปลก ยิ่งเด่น ยิ่งทำตัวไม่เหมือนใคร ยิ่งแนว.....
มีเยาวชนจำนวนไม่น้อยที่กระเสือกกระสนให้ตนเองเป็นเช่นนั้น โดยเฉพาะการแต่งกาย การประกาศรสนิยม การพูดจาหรือวัฒนธรรมใหม่ใดๆ ก็ตามที่จะให้เกิดการยอมรับในกลุ่มเพื่อนว่าเป็นเด็ก “ แนว ” สิ่งที่เราพบในกระทู้บ่อยๆ คือ “ใครเป็นเด็กแนวมั่ง / อยากเป็นเด็กแนวมาทางนี้ ...”

สิ่งที่ไม่เข้าใจอยู่ก็คือ นี่น่ะหรือ..ความเป็นปัจเจกบุคคล ... มันก็กลายเป็นปรากฏการณ์ตามชาวบ้านเขาอยู่ดี...



ว่าไปแล้วก็คิดว่าทุกวันนี้ วัยรุ่นไทยแปลกมากขึ้นไหม เขาแปลก... หรือเรากันแน่นะที่แปลก ....

;)

2 Comments:

  • At 2:51 หลังเที่ยง, Blogger Etat de droit said…

    ผมขอละไว้ไม่แสดงความเห็นเรื่องเว็บไซต์นะครับ

    แต่ขอแลกเปลี่ยนนิดนึงว่า อะไรที่เรียกว่าแปลก?

    "แปลก" นี่มันอัตวิสัยมากนะครับ

    บางทีเราว่าแปลก เค้าอาจว่าไม่แปลก

    ก็อย่างที่คุณว่าไว้แหละครับ "ว่าไปแล้วก็คิดว่าทุกวันนี้ วัยรุ่นไทยแปลกมากขึ้นไหม เขาแปลก... หรือเรากันแน่นะที่แปลก ...."

    คนรุ่นพ่อแม่เราก็มองว่าเราแปลกที่ฟังเพลงอะไรไม่รู้ หนวกหู

    คนรุ่นปู่เราก็มองว่าพ่อแม่เราฟังเพลงอะไรก็ไม่รู้

    ของแบบนี้มันตามยุคสมัยน่ะ

    เพียงแต่จะทำยังไงให้เราไม่ลุ่มหลงไปกะมันจนเสียคน

    ผมคิดว่า การชี้นิ้วแล้วว่าเค้าแปลกนี่ออกจะอันตรายเสียหน่อย

    ความแปลก ความประหลาด ความไม่เข้าพวก นำมาซึ่งการนิยามว่าเค้าเป็นคนอื่น แล้วก็ลามปามมาจนเกลียดชัง

    ตัวอย่างที่ชัดเจน เราเห็นได้จากปัญหาภาคใต้ไงครับ

    ผมว่าโลกเราต่างกันอย่างไรก็น่าจะอยู่ด้วยกันได้ หมดสมัยแล้วครับกับการทำลายกันด้วยสาเหตุที่ว่ามึงไม่เหมือนกู

    ผมไปไกลเกินไปหน่อย อาจไม่ค่อยเกี่ยวกับเรื่องที่คุณเขียนมา แต่ผมเห็นหัวเรื่องว่าใครแปลกนี่มันอดคิดไปไกลไม่ได้จริงๆ

     
  • At 11:43 หลังเที่ยง, Blogger ratioscripta said…

    เห็นด้วยกับคนข้างบน แปลกไม่แปลกมันต้องมีการเทียบ เปลี่ยนใหม่ได้ว่า

    แตกต่างออกไปจากเดิมหรือไม่

    แล้วไอ้แนวเดิมนี่แนวไหน ก็คงต้องเป็นสมัยของเจ้าของบล็อกมั๊งครับ เพราะเป็นสิ่งที่คุณรับรู้และประทับอยู่ในหัว และในใจ

    แล้วนำมาเปรียบเทียบกับแนวของเด็กสมัยนี้ ว่ามันต่างออกไปจากแนวเดิมนั้นหรือไม่

    นั่นก็คือ

    มันแปลกมากขึ้นไหม ตามคำถามของเจ้าของบล็อก ล่ะมั๊งครับ

    ถ้าเป็นอย่างที่ผมว่า

    มันก็คงเป็นไปตามวัฎจักรชีวิตน่ะครับ

    เกิดขึ้น ตั้งอยู่ เปลี่ยนแปลง และดับไป

    แต่คิดอย่างนี้ใช่ว่าจะให้นิ่งดูดาย ปล่อยให้มันเป็นไป แม้จะรู้ว่ามันจะเดินลงเหวอย่างนั้นนะครับ

    การเปลี่ยนแปลง มันเป็นไปได้ทั้งพัฒนาให้สูงขึ้น และจิ้มหัวลงดินให้ต่ำลง

    จะมองว่ามันสูงขึ้น หรือต่ำลง ก็คงมองที่ "ประโยชน์" และ "ความสุข" น่ะครับ

    กว่าผมและคุณจะตาย เราคงได้เห็นความเปลี่ยนแปลงอย่างนี้อีกหลายหลาก หลายรุ่น

    ด้วยรอยยิ้ม และน้ำตา

    ด้วยเสียงหัวเราะ และเสียงร้องไห้

    ด้วยความสุข ความหวัง และความทุกข์ เศร้าโศรกเสียใจ

    แต่นั่นก็สัจจะธรรมแห่งชีวิตล่ะครับ

     

แสดงความคิดเห็น

<< Home