*STYLE TYPE="text/css"> p {align=justify} BODY{cursor: url(http://ourworld.cs.com/dollielove6/uc4.cur);} a {cursor: url(http://ourworld.cs.com/dollielove6/uc4.cur);} */STYLE> Bakery Idea From me :): เกมส์โชวแบบเสือกๆ

Bakery Idea From me :)

วันศุกร์, พฤษภาคม 20, 2548

เกมส์โชวแบบเสือกๆ

ริงๆ แล้ว ก็อยากเขียนมานานตั้งแต่ปรากฏการณ์อะคาเดมี่ แฟนตาเซียของช่องยูบีซีกำลังฟีเวอร์ จนมาถึงไฮโซบ้านนอกช่องสามที่ถูกขนานนามว่าเฟคจัดฉากที่สุด แต่เห็นจะไม่มีรายการเรียลลี้ตี้ใดมาแรงแซงความฉาวได้เท่ากับ
“ บิ๊ก บราเธอร์”แห่งค่ายกันตนา ที่ออนแอร์ทางไอทีวีขณะนี้ ...




“ บิ๊ก บราเธอร์” เป็นเรื่องราวของคน 12 คน ชาย 6 และหญิง 6 (แบ่งตามกายภาพ)ที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน

แต่ต้องมาใช้ชีวิตอยู่ในบ้านหลังเดียวกันที่กันตนา มูฟวี่ ทาวน์ ศาลายา โดยถูกตัดขาดการติดต่อสื่อสารกับโลกภายนอกอย่างเป็นเวลา 100 วัน

ผู้ชนะของ “บิ๊ก บราเธอร์” จะได้รับรางวัลก้อนใหญ่ ที่มีทั้งบ้านเดี่ยว 1 หลัง จากเค.ซี. พร็อพเพอร์ตี้ รถยนต์ มาสด้า3 สปอร์ต 5 ประตู 1 คัน และเงินสด 1 ล้านบาท

ฟังหรืออ่านผ่านๆ ดูแล้ว..ก็
คงไม่มีอะไรเกิดขึ้น หากรายการยังคงรูปแบบไปตามเรียลลิตี้โชวที่เราๆ ท่านๆ เริ่มคุ้นเคยกันบ้างแล้ว หาก...ไม่....มี...โตโต้และพิม..



ภาพบางภาพอาจดูปกติ เหมาะสมแล้วสำหรับคนกลุ่มหนึ่ง แต่ “ไม่ “ สำหรับสาธารณชน (ที่รวมไปถึง audience เด็ก วัยรุ่นที่ยังขาดวิจารณาญาณอีกมาก) อย่างแน่นอน

ภาพที่โตโต้และพิมกอดจูบอยู่บนเตียงเดียวกันเป็นเวลานาน โดยที่ทั้งคู่รู้อยู่แก่ใจว่ากำลังออกอากาศทั่วประเทศ 24 ชม. พร้อมกล้องที่มีกำลังซูม 18 เท่า จำนวน 26 ตัวและไมโครโฟนไร้สายติดทั่วบ้านไปอีก 40 ตัว !!!
และยิ่งกว่านั้น..คือ มันไม่ใช่การกระทำเพียงแค่เดียว!!

คิดว่าเป็นเรื่องปกติตามธรรมชาติที่คนเรามักอยากรู้อยากเห็นเรื่องของผู้อื่น แต่ไม่ปกติที่จะมีการนำอิริยาบทส่วนตัวของผู้อื่นมาให้ดูตลอด 24 ชม. (แม้ว่าเขาจะเต็มใจก็ตาม)



แต่ละวันผ่านไปโดยมีฉากรักหวานชื่นของคู่นี้ ...

รวมถึงการกำหนดโจทย์ให้ทำกิจกรรม คาดว่าคงพอนึกออก ลองเทียบเคียงภาพรวมกับรายการ อะคาเดมี่ แฟนตาเซีย หรือ ไฮโซบ้านนอกก็ย่อมได้ แต่ ต่างกันพอสมควร ในแง่ของ


• ความสร้างสรรค์ของรายการ กิจกรรมที่ทำแต่ละวัน
- เอเอฟให้โอกาสในการฝึกซ้อมร้อง เต้น เพื่อดูความสามารถ
- ไฮโซบ้านนอกให้ทำงานที่คิดว่าเขาเหล่านั้นจะทำไม่ได้แต่หากทำได้ จะให้เงินรางวัลเพื่อนำไปทำบุญต่อไป
- บิ๊ก บราเธอร์ มีกิจกรรม เช่น ให้เต้นตลอด 24 ชม.เปลี่ยนเพลงก็เปลี่ยนคู่เต้น มีเพลงรวมเมื่อไรที่เพลงขึ้น ไม่ว่าคุณจะอยู่ที่ไหนต้องแต่งตัวและวิ่งออกมาด้วยความทุลักทุเล ทำนองสะใจคนจัดรายการ (ถามว่ากิจกรรมทำแล้วได้อะไร)


• มุมกล้อง ที่แส่เกินจริง
- เอเอฟ เราดูในฐานะผู้สังเกตการณ์ บางมุม จะเห็นได้ว่าเป็นการหลบ บางมุมก็ไม่ชัด
- ไฮโซบ้านนอก เราดูในฐานะผู้ชมทั่วไป คล้ายการชมละคร หรือ ภาพยนตร์ทั่วไป ถ่ายเป็นฉ่อด พักกล้องเป็นระยะ และผู้เข้าแข่งขันมีความเป็นส่วนตัวมากกว่า มีการแสดงถึงฉากที่มีโอกาสในการตัดสินใจมากกว่า
- มุมเผลอ ( หรืออาจแกล้งทำเป็นเผลอตามบทก็แล้วแต่) ของ เอเอฟ เป็นการสื่อให้เห็นถึงผู้เข้าแข่งขันแต่ละคน คิดถึงบ้าน..ระบายความอึดอัดใจ หรืออิริยาบถส่วนตัว เช่น กิน นอน ร้องเพลง ของไฮโซบ้านนอกจะเป็นอารมณ์ร้องไห้ ลำบาก คร่ำครวญถึงความน่าสงสารที่ตนเองต้องได้รับ แต่มุมเผลอของ บิ๊ก บราเธอร์ มักจะเป็น...คู่รักโตโต้และพิม
กอดจูบกันเสมอ... จนบางครั้งแอบคิดไม่ได้ว่า เป็นความจงใจของทีมงานไหมที่ปล่อยให้มีการตัดต่อของรูปเช่นนี้ขึ้นบ่อยๆ ถึงขนาดสามารถ capture รูปปล่อยออกมาตามเนตได้เกลื่อน... แถมรูปบางรูป ฉากบางฉากก็รู้ว่าเขาทำอะไร แต่ทีมงานก็ยังซูมกล้องเข้าไปแล้วปล่อยให้ออกอากาศแบบนั้น...


ทั้งหลายทั้งปวง อาจบอกได้ว่า ความแตกต่างนั้นเกิดขึ้นบนเงื่อนไขของ “ ธีม” ในแต่ละรายการไหม แล้วเราจะเปรียบเทียบทำไม ..แม้แต่วิธีการสร้างสรรค์รายการที่แตกต่างกัน แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่า ของรางวัลที่ผู้ร่วมแข่งขันได้ นำไปทำบุญจริง เราถึงมองว่าดี หรือ กิจกรรมที่เรามองว่าไร้สาระผู้เข้าแข่งขันและผู้ชมอื่นๆ อาจชื่นชอบก็ได้ ฯลฯ


สิ่งที่คิดว่าสำคัญที่สุด คือ ต้องตอบคำถามให้ได้ว่า เกมประเภทนี้ ดูแล้วได้หรือเสียมากกว่า

เพราะภายใต้สโลแกนชูโรงหากิน ได้ป่าวประกาศอยู่โต้งๆ ว่าเป็น “ เกมชีวิต ”
นั่นหมายถึง ความพยายามที่จะสื่อให้ผู้ชมได้รับรู้ถึงความเป็นจริงของผู้ร่วมแข่งขัน
ไม่ว่าจะเป็นทัศนคติ อิริยาบถ การแสดงออกความสามารถต่างๆ ที่ผู้ร่วมแข่งขันมีในตัวเองรวมถึง ผู้ร่วมแข่งในเกมรู้สึกต่อกันด้วย เราๆ ผู้ชมอยู่ในฐานะ...ผู้สังเกตการณ์ผ่านจอโทรทัศน์ ต้องตอบตัวเองให้ได้ว่า เราดูเพื่ออะไร
ในเมื่อเขาก็บอกว่า มันเป็นเรื่องจริง!!!

ลองคิดดูดีๆ .ภายใต้สโลแกนเกมชีวิต ....เราจะไม่ต่างอะไรกับบรรดา “ไทยมุงยุ่งเรื่องชาวบ้าน” เลย เพียงแค่เปลี่ยนจากการดูแบบเผชิญหน้ามาเป็นผ่านจอแก้วเท่านั้น

และมันก็แค่ลูกเล่นทางธุรกิจบันเทิง แค่เกมโชว...ที่ไม่มีวันจะเป็นจริงได้
เพราะตามธรรมชาติมนุษย์มีความเป็นส่วนตัว มีความลับ และเมื่อไรก็ตามที่คิดว่ามีสิ่งแปลกปลอมอยู่ จะระวังตัว ไม่เปิดตัวตนที่แท้จริงออกมา จึงอาจกล่าวได้ว่านี่คือเกมแสดงละคร ใครแสดงเก่งกว่า นานกว่า ได้รางวัล เหมือนละครทั่วไปเพียงแต่ตัวละครไม่ well known เท่านั้นเอง


และหากพิจารณาในแง่ขององค์ประกอบเกมโชว.. บิ๊ก บราเธอร์ ก็คือ เกมโชว์อย่างแน่นอน เพราะมี
1. พิธีกร ( ศรัญยู วงศ์กระจ่าง)
2. ผู้ร่วมเข้าแข่งขัน ( 12 คนนั้น )
3. มีการแข่งขันให้รู้แพ้ชนะ ( โหวตออก)
4. มีของรางวัล ( บ้าน รถ เงินสด)
5. เปิดโอกาสให้ผู้ชมมีส่วนร่วม ( โหวต sms ได้)
6. ในรายการแต่ละตอน มีพล็อตดำเนินรายการ ได้แก่ การเริ่มต้นเกม แข่งขัน นำไปสู่บทสรุป คือ จบรายการ ( 100 วันที่ต้องอยู่ในบ้านทำกิจกรรมต่างๆ ตามกำหนด)


สิ่งที่น่าเป็นห่วงกับภาวะความก้ำกึ่ง ระหว่างความจริงกับสิ่งลวงนี้ คือ คุณค่าที่กลุ่มผู้ชมจำนวนหนึ่ง ทั้งผู้ปกครอง และกลุ่มเด็กเล็กจนถึงเด็กโต ตัดสินให้แก่รายการนี้

เพราะกลุ่มรายการประเภทนี้จัดเป็น Light entertainment โดยมีส่วนผสมระหว่าง เรื่องจริงกับสิ่งลวง ( Jouurnalism drama) กล่าวคือ เกมโชวมีลักษณะของเรื่องจริงที่มิใช่เรื่องแต่งขึ้นแบบละครหรือนิยาย ( non-fiction ) เพราะตัวบุคลที่มาร่วมรายการต่างมาปรากฏตัวในฐานะตัวตนของเขาจริงๆ และกิจกรรมที่ดำเนินไปในรายการก็เป็นไปอย่างเป็นจริง เป็นจัง แต่ในขณะเดียวกัน องค์ประกอบอื่นของรายการก็มีคุณลักษณะที่ตกแต่งขึ้นมา ( Fiction ) / Fake เช่น ฉาก เกมที่เล่น กิจกรรมที่เซ็ตเข้ามา ไม่ว่าจะเป็นการห้ามติดต่อสื่อสารกับคนภายนอก การต้องอยู่แต่สถานที่ๆ กำหนดไว้เท่านั้น การโหวตคนออก การใช้กล้อง ไมโครโฟนติดตามจุดต่างๆ กฎกติกามารยาทต่างๆ เหล่านี้ ล้วนไม่ใช่ปรากฏการณ์ที่บุคคลต้องเผชิญหน้าในชีวิตจริง และลักษณะการดำเนินเรื่องยังคล้ายคลึงกับละครหรือนิยายโดยทั่วไป เช่น มีการเล่าเรื่อง มีการเปิดเรื่อง ดำเนินเรื่องและมีการลงท้ายหรือสื่อให้เห็นถึงบทสรุปตอนจบของเกมในแต่ละวัน โดยอาจเป็นเสียงบรรยายเข้ามาให้ผู้ชมได้รับฟัง
แม้ว่า ลักษณะบางอย่างอาจมีความเหมือนกับละครหรือนิยายที่เราได้ชมกันอยู่บ้าง แต่ก็ยังมีแบบเฉพาะที่ทำให้รายการประเภทนี้มีความโดดเด่นแตกต่างจากละครทั่วไป เช่น ในแง่ของการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างตัวรายการกับผู้ชม( address to audience ) ที่มีการดึงความสนใจ และเปิดโอกาสให้ผู้ชมมีส่วนร่วมกับทางรายการอยู่ตลอดเวลา มีความใกล้ชิด มีอำนาจในการตัดสินความเป็นไปของผู้เข้าแข่งขันได้ เช่น การให้โหวตเสียง sms โทร ( ซ้ำยังเป็นการสร้างรายได้มหาศาลแก่ผู้จัดรายการอีกด้วย)

จะเป็นอย่างไร หากกลุ่มผู้จัดรายการพยามนำเสนอในแง่ของความจริงเพื่อดึงดูดให้ผู้ชมสนใจมาก อันหมายถึงตัวเลขทางธุรกิจที่จะดีไปด้วย ทั้งที่ความจริงเป็นเพียงละครบันเทิงอีกประเภทหนึ่งเท่านั้น...

ท่านอาจไม่ซีเรียส เพราะท่านแยกออกว่าอะไร เป็นอะไร...

แต่อย่าลืมว่า หากมองในแง่ของจรรยาบรรณ การสื่อสาร และมองในกลุ่มผู้รับสารแล้ว การรับข้อมูลที่เป็นเท็จ ไปประมวลผลด้วยตัวของเขาเองเป็นเรื่องที่น่าตำหนิสำหรับสื่อ และอันตรายมากสำหรับผู้รับสารนั้น
อย่างไรก็ตามมีหลายประเด็นที่น่าขบคิดต่อไป เช่น

• มองในแง่ของสื่อแล้ว ควรมีวิจารณญาณของการนำเสนอควรเลือกสะท้อนภาพให้เหมาะสมกับสังคมประเทศไทยมากกว่าที่รายการบิ๊ก บราเธอร์เป็นอยู่หรือไม่
• หน้าที่ในการกลั่นกรองความเหมาะสมออกอากาศเป็นสิ่งที่ควรคำนึงถึงอย่างมาก กบว.ให้อำนาจหน้าที่ในการกรองภาพ เสียงแก่ช่องนั้นๆ แล้ว ภาพที่ไม่เหมาะสมยังมีให้เห็นมากขนาดนี้ แสดงถึงความไม่ตระหนักของทีมงาน หรือไม่
• ควรมีความชัดเจน มีนิยามของคำว่า “เหมาะสม” ให้เป็นแนวทางในการปฏิบัติของแต่ละสถานีหรือยัง
• ทำอย่างไรให้ผู้ชมเข้าใจถึงความเป็นเกมและไม่นำพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมไปปฏิบัติเป็นเยี่ยงอย่าง
• รายการประเภทเรียลลิตี้ นี้ เป็นการสร้างค่านิยมใหม่ให้กับสังคมไทยหรือไม่ คือ พฤติกรรมส่วนตัวไม่จำเป็นต้องเปิดเผยในที่สาธารณะ แต่การนำเรื่องลับส่วนตัวมาเผยแพร่ให้คนอยากรู้ การยอมสูญเสียความเป็นส่วนตัว เป็นการสร้างความอยากรู้อยากเห็นให้ผู้อื่น และบ่มเพาะความคิดสร้างค่านิยมผิดๆ หรือไม่ ว่าการทำให้ผู้อื่นเข้าใจว่าตนเองเปิดเผยเรื่องส่วนตัว การแสดงละครได้เนียนมากเท่าไร ยิ่งได้รับรางวัลเป็นผลตอบแทน สิ่งต่างๆ เหล่านี้จะชักนำไปสู่ปรากฏการณ์ “ ขายความลับ ” เหมือนถ่ายหนังโป๊ไหม...


ว่าไปแล้ว...........



ไอ้ตัวคนเขียนเองนี่แหละ ตามดูหมดทุกรายการ แต่ปากก็บอกว่าไร้สาระ
หึหึหึ

1 Comments:

  • At 8:29 ก่อนเที่ยง, Anonymous ไม่ระบุชื่อ said…

    อ่านจบแล้วสิ่งที่คิดอย่างแรกก็คือ...โชคดีจังวุ้ย!!
    โชคดีตรงที่เข้ามาอ่านแล้วได้อะไรกลับไปคิดด้วย ช่างวิเคราะห์เจาะลึกได้สมกับที่เป็นเด็กนิเทศเก่าจริงจริ๊ง :P อย่างที่2 ก็คือการได้รู้ว่าคนที่เราปลื้มเค้าคิดยังไง:D

     

แสดงความคิดเห็น

<< Home