Serendipity…หรืออะไรนะ ที่ทำให้เราได้พบกัน
เมื่อวันสองวันที่ผ่านมา จู่ๆ เราก็นึกถึงหนังเรื่องนี้ขึ้น
เป็นเรื่องราวของ คนสองคนที่เจอกันโดยบังเอิญ ณ สถานที่แห่งหนึ่ง โดยที่ทั้งสองได้มีช่วงเวลาสั้นๆ ด้วยกัน แต่ด้วยความที่ทั้งคู่มีคนรักอยู่แล้ว..จึงได้แต่ปล่อยให้ค่ำคืนนั้นเป็นเพียงความทรงจำที่ยากจะลืม... โดยให้เหตุผลว่า..หากทั้งสองถูกกำหนดให้คู่กัน พวกเขาก็ย่อมพบหนทางที่จะนำพาให้หวนกลับมาพบกันได้เอง โดย ซ่าร่า (นางเอก)
เลือกที่จะให้โชคชะตาเป็นผู้กำหนด
วันเวลาผ่านไป...ทั้งสองต่างก็มีชีวิตเป็นไปในแบบของตน แต่เมื่อทั้งคู่ต้องเข้าพิธีแต่งงานกับบุคคลอื่น..ต่างก็นึกถึงเหตุการณ์ที่ล่วงเลยผ่านมา พวกเขาตัดสินใจที่จะตามหากันและกัน...โดยที่ ไม่มีรายละเอียดของอีกฝ่ายเลย เว้นแต่..ชื่อ เท่านั้น
สิ่งที่เราคิดว่าเป็นแก่นของเรื่องนี้ทั้งหมด..เห็นจะเป็นอะไรไปไม่ได้ นอกเสียจาก ความบังเอิญ...
บังเอิญ บังเอิญ บังเอิญ..จนดูเหมือนมีใครสักคน...ตั้งใจ
บังเอิญ คำๆ นี้เอง..ที่พาให้เราดำเนินชีวิตไปได้หลายหลากรูปแบบ
คงเป็นเพราะเราไม่ค่อยเชื่อในเรื่องพรหมลิขิต และหัวเราะเยาะกับความเชื่อแบบฝันเฟื่องประเภทนี้มาก มันไม่ต่างอะไรกับเจ้าหญิงรอคอยเจ้าชายที่ไม่เคยพบกันมาก่อน สาวใช้คนจนพบรักกับนายจ้างสุดหล่อรวย อะไรเทือกนี้เท่าไรนัก
เน่าอะไรเช่นนี้วะ!!
กลับมาคิดดูเส้นทางเดินของตัวเองในวันนี้ ไม่ต่างอะไรกับ Serendipity เลย ซ้ำยังเน่ากว่า
มักมีคนถามเราอยู่เสมอ ว่า ทำไมจู่ๆ หันเหชีวิตตัวเองกลับมาเรียนนิติศาสตร์อีกครั้ง ทั้งที่เราก็หากินในวงนิเทดได้ “ เจิด ” ระดับหนึ่ง..
จริงๆ เป็นคำถามที่น่าเบื่อมาก เหมือนถูกถามเวลาโดนสัมภาษณ์ว่า “ อยากทราบแรงบันดาลใจ ที่มาของการทำเวบไซต์เด็กดีค่ะ..” ตอบชนิด ท่องเป็นคำกลอนได้แล้วล่ะ
แต่เชื่อมั้ย...
กับคำถาม คิดยังไงถึงมาเรียนนิติศาสตร์ หรือ รู้ตัวได้ไง ว่าชอบกฎหมาย...
ส่วนมากเราตอบไม่ค่อยซ้ำกันเท่าไรเลยนะ เพราะมันมีทั้งความบังเอิญและเรื่องราวของมันอยู่มากมายเหลือเกิน เกินกว่าที่เราจะบอกใครสักคนให้เข้าใจได้หมด...
ไม่ได้อยากเปรียบเทียบว่าอะไร ดีกว่าอะไร แต่บอกได้ว่าตอนนี้ชอบอะไรมากกว่าอะไร ซึ่งความชอบ..ไม่จำเป็นต้องมีเหตุผลที่ดีเท่าไรนัก..
ตอนนี้ชีวิตของเรา...ทิ้งความเป็นนกน้อยไร่ส้ม ในรั้วชมพูมากขึ้นๆ ทุกที ที่เราได้สัมผัสกับรั้วนิติศาสตร์...
ซึ่งเป็นการทิ้งแบบเต็มใจ!!!
เหมือนกับการค้นหาอะไรสักอย่างในชีวิตเรา ที่เราเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่า เมื่อไรเราจะรู้ว่าเราค้นหาอะไร เราได้แต่ปล่อยให้ตัวเองค้นหาไปเรื่อยๆ จนกว่าจะเจอ...
เราอาจกำลังเป็นแบบนั้นอยู่..
1 ปีที่ผ่านมาให้อะไรกับชีวิต (ว่างงานฟลูไทม์) ของเรามาก
แต่บางครั้ง นกน้อยอย่างเราเกิดรู้สึกสับสน…
ว่าเรากำลังตัดสินใจก้าวอยู่ในอีกโลกหนึ่ง ที่เราไม่เคยสัมผัส มันช่างต่างกับโลกที่เราคุ้นเคยเสียนี่กระไร
โลกใหม่ ฟ้าใหม่ ที่เรายังสัมผัสไม่ถึง วันเวลา...พาเราออกมาไกลเหลือเกิน เกินกว่าที่เราตั้งใจไว้มาก ตอนนี้เราพบแล้ว สอบเข้าได้แล้ว..แต่ยังไม่สำเร็จ เราคงต้องบินอีกไกลแสนไกล โดยที่ไม่รู้ว่าจะมีกระแสลม ฝน เมฆ หมอก อะไรข้างหน้าบ้าง แต่เราจะไม่บินกลับที่เดิม
เราอยากพ้นภาวะ “ลูกครึ่ง” นี่เสียที
ลูกครึ่งนิเทด ซึ่งกลับไปคณะ อาจารย์ รุ่นพี่ รุ่นน้องบางคน ต่างพากันผิดหวังในตัวเราที่ทิ้งตำแหน่งงานอันหลายคนไฝ่ฝัน แล้วดันเสียเวลากลับไปเรียนคนละขั้ว
ลูกครึ่งที่ตอนนี้เราก็ตามงานเอเยนซี่ไม่ทัน คุยการตลาดกับเพื่อนไม่เวิร์คเหมือนเมื่อก่อน เราเริ่มซื้อ Marketeer ห่างขึ้น เข้าเวบโฆษณาน้อยลง จำหน้าตา นสพ.ฐานเศรษฐกิจ ไม่ค่อยได้ อีกหน่อยคงขาด connection ในวงของเราออกไป
ลูกครึ่งที่..ตัวเราเองก็ยังไม่ประสีประสาในเรื่องกฏหมาย การมองประเด็นไม่แตก คุยเรื่องกฎหมายก็ไม่ค่อยได้อีก
ฯลฯ
เหมือนนกผลัดขนเลยเนอะ จะสวยก็ไม่สวย มองมาเป็นตัวอะไรก็ไม่รู้
เราจะไม่เสียดายอดีต จะไม่หันกลับไป เราได้แต่เพียงหวังให้ปีกน้อยๆ ของเราค่อยเติบใหญ่ขึ้น จนสามารถบินไปข้างหน้าได้สูงสู่ฝัน….
เราซุ่มเข้าไปอ่านบทความ เวบบอร์ด ศึกษาข้อมูลต่างๆที่เกี่ยวกับกฏหมาย เท่าที่ปัญญาอันน้อยนิดของเราจะพอหาอ่านได้จากอินเตอร์เนต เราอ่านแบบ “ไก่ตาแตก” แอบอ่านไม่มีตัวตน เขาคุยเขาถามอะไรกันก็ไม่ค่อยกล้าแสดงความคิดเห็น แล้วได้แต่คิดในใจว่า “ เขาคุยมาตราอะไรกันวะ ..กูรู้จักแต่การสื่อสาร....”
อดรนทนไม่ไหว...อายครูบ่รู้วิชา อายปากกามึงก็ไม่ได้เขียนสักกะที...
บอกกะตัวเองยังงี้ เลยตัดสินใจ เข้าไปร่วมแจมกะพี่ๆ ที่เขาวิ่งเล่นกันในบอร์ด จนเป็นความอภิมหาโชคดี ที่ได้มีโอกาสรู้จักยอดขุนพลอาจารย์แต่ละท่านด้วยความบังเอิญ... ( หากพี่อ่านอยู่พี่คงคิดว่าก้อยโชคดี แต่พี่โคตรซวย เพราะถูกถามทั้งวัน 5555 )
เคยคิดไหม
อะไรนะ...ที่ทำให้เราพบกับคนเหล่านี้ ทั้งที่อยู่กันไกลแสนไกล
คนบางคน เราอาจเดินสวนกันทุกวัน ไม่มีโอกาสได้คุยกัน
คนบางคน เราไม่เคยเจอกัน แต่มีโอกาสได้คุยกันแทบทุกวัน
บางที... คนที่เรามองหาทั้งชีวิต ก็อาจจะอยู่ในนี้ก็ได้........
สำหรับเราแล้ว...sirendipity ของเรา คือ การได้กลับมาเป็นนักศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์อีกครั้งหลังจากเคยปล่อยให้โชคชะตากำหนดไว้เมื่อ 5 ปีที่แล้วนี่ล่ะ ....
เป็นเรื่องราวของ คนสองคนที่เจอกันโดยบังเอิญ ณ สถานที่แห่งหนึ่ง โดยที่ทั้งสองได้มีช่วงเวลาสั้นๆ ด้วยกัน แต่ด้วยความที่ทั้งคู่มีคนรักอยู่แล้ว..จึงได้แต่ปล่อยให้ค่ำคืนนั้นเป็นเพียงความทรงจำที่ยากจะลืม... โดยให้เหตุผลว่า..หากทั้งสองถูกกำหนดให้คู่กัน พวกเขาก็ย่อมพบหนทางที่จะนำพาให้หวนกลับมาพบกันได้เอง โดย ซ่าร่า (นางเอก)
เลือกที่จะให้โชคชะตาเป็นผู้กำหนด
วันเวลาผ่านไป...ทั้งสองต่างก็มีชีวิตเป็นไปในแบบของตน แต่เมื่อทั้งคู่ต้องเข้าพิธีแต่งงานกับบุคคลอื่น..ต่างก็นึกถึงเหตุการณ์ที่ล่วงเลยผ่านมา พวกเขาตัดสินใจที่จะตามหากันและกัน...โดยที่ ไม่มีรายละเอียดของอีกฝ่ายเลย เว้นแต่..ชื่อ เท่านั้น
สิ่งที่เราคิดว่าเป็นแก่นของเรื่องนี้ทั้งหมด..เห็นจะเป็นอะไรไปไม่ได้ นอกเสียจาก ความบังเอิญ...
บังเอิญ บังเอิญ บังเอิญ..จนดูเหมือนมีใครสักคน...ตั้งใจ
บังเอิญ คำๆ นี้เอง..ที่พาให้เราดำเนินชีวิตไปได้หลายหลากรูปแบบ
คงเป็นเพราะเราไม่ค่อยเชื่อในเรื่องพรหมลิขิต และหัวเราะเยาะกับความเชื่อแบบฝันเฟื่องประเภทนี้มาก มันไม่ต่างอะไรกับเจ้าหญิงรอคอยเจ้าชายที่ไม่เคยพบกันมาก่อน สาวใช้คนจนพบรักกับนายจ้างสุดหล่อรวย อะไรเทือกนี้เท่าไรนัก
เน่าอะไรเช่นนี้วะ!!
กลับมาคิดดูเส้นทางเดินของตัวเองในวันนี้ ไม่ต่างอะไรกับ Serendipity เลย ซ้ำยังเน่ากว่า
มักมีคนถามเราอยู่เสมอ ว่า ทำไมจู่ๆ หันเหชีวิตตัวเองกลับมาเรียนนิติศาสตร์อีกครั้ง ทั้งที่เราก็หากินในวงนิเทดได้ “ เจิด ” ระดับหนึ่ง..
จริงๆ เป็นคำถามที่น่าเบื่อมาก เหมือนถูกถามเวลาโดนสัมภาษณ์ว่า “ อยากทราบแรงบันดาลใจ ที่มาของการทำเวบไซต์เด็กดีค่ะ..” ตอบชนิด ท่องเป็นคำกลอนได้แล้วล่ะ
แต่เชื่อมั้ย...
กับคำถาม คิดยังไงถึงมาเรียนนิติศาสตร์ หรือ รู้ตัวได้ไง ว่าชอบกฎหมาย...
ส่วนมากเราตอบไม่ค่อยซ้ำกันเท่าไรเลยนะ เพราะมันมีทั้งความบังเอิญและเรื่องราวของมันอยู่มากมายเหลือเกิน เกินกว่าที่เราจะบอกใครสักคนให้เข้าใจได้หมด...
ไม่ได้อยากเปรียบเทียบว่าอะไร ดีกว่าอะไร แต่บอกได้ว่าตอนนี้ชอบอะไรมากกว่าอะไร ซึ่งความชอบ..ไม่จำเป็นต้องมีเหตุผลที่ดีเท่าไรนัก..
ตอนนี้ชีวิตของเรา...ทิ้งความเป็นนกน้อยไร่ส้ม ในรั้วชมพูมากขึ้นๆ ทุกที ที่เราได้สัมผัสกับรั้วนิติศาสตร์...
ซึ่งเป็นการทิ้งแบบเต็มใจ!!!
เหมือนกับการค้นหาอะไรสักอย่างในชีวิตเรา ที่เราเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่า เมื่อไรเราจะรู้ว่าเราค้นหาอะไร เราได้แต่ปล่อยให้ตัวเองค้นหาไปเรื่อยๆ จนกว่าจะเจอ...
เราอาจกำลังเป็นแบบนั้นอยู่..
1 ปีที่ผ่านมาให้อะไรกับชีวิต (ว่างงานฟลูไทม์) ของเรามาก
แต่บางครั้ง นกน้อยอย่างเราเกิดรู้สึกสับสน…
ว่าเรากำลังตัดสินใจก้าวอยู่ในอีกโลกหนึ่ง ที่เราไม่เคยสัมผัส มันช่างต่างกับโลกที่เราคุ้นเคยเสียนี่กระไร
โลกใหม่ ฟ้าใหม่ ที่เรายังสัมผัสไม่ถึง วันเวลา...พาเราออกมาไกลเหลือเกิน เกินกว่าที่เราตั้งใจไว้มาก ตอนนี้เราพบแล้ว สอบเข้าได้แล้ว..แต่ยังไม่สำเร็จ เราคงต้องบินอีกไกลแสนไกล โดยที่ไม่รู้ว่าจะมีกระแสลม ฝน เมฆ หมอก อะไรข้างหน้าบ้าง แต่เราจะไม่บินกลับที่เดิม
เราอยากพ้นภาวะ “ลูกครึ่ง” นี่เสียที
ลูกครึ่งนิเทด ซึ่งกลับไปคณะ อาจารย์ รุ่นพี่ รุ่นน้องบางคน ต่างพากันผิดหวังในตัวเราที่ทิ้งตำแหน่งงานอันหลายคนไฝ่ฝัน แล้วดันเสียเวลากลับไปเรียนคนละขั้ว
ลูกครึ่งที่ตอนนี้เราก็ตามงานเอเยนซี่ไม่ทัน คุยการตลาดกับเพื่อนไม่เวิร์คเหมือนเมื่อก่อน เราเริ่มซื้อ Marketeer ห่างขึ้น เข้าเวบโฆษณาน้อยลง จำหน้าตา นสพ.ฐานเศรษฐกิจ ไม่ค่อยได้ อีกหน่อยคงขาด connection ในวงของเราออกไป
ลูกครึ่งที่..ตัวเราเองก็ยังไม่ประสีประสาในเรื่องกฏหมาย การมองประเด็นไม่แตก คุยเรื่องกฎหมายก็ไม่ค่อยได้อีก
ฯลฯ
เหมือนนกผลัดขนเลยเนอะ จะสวยก็ไม่สวย มองมาเป็นตัวอะไรก็ไม่รู้
เราจะไม่เสียดายอดีต จะไม่หันกลับไป เราได้แต่เพียงหวังให้ปีกน้อยๆ ของเราค่อยเติบใหญ่ขึ้น จนสามารถบินไปข้างหน้าได้สูงสู่ฝัน….
เราซุ่มเข้าไปอ่านบทความ เวบบอร์ด ศึกษาข้อมูลต่างๆที่เกี่ยวกับกฏหมาย เท่าที่ปัญญาอันน้อยนิดของเราจะพอหาอ่านได้จากอินเตอร์เนต เราอ่านแบบ “ไก่ตาแตก” แอบอ่านไม่มีตัวตน เขาคุยเขาถามอะไรกันก็ไม่ค่อยกล้าแสดงความคิดเห็น แล้วได้แต่คิดในใจว่า “ เขาคุยมาตราอะไรกันวะ ..กูรู้จักแต่การสื่อสาร....”
อดรนทนไม่ไหว...อายครูบ่รู้วิชา อายปากกามึงก็ไม่ได้เขียนสักกะที...
บอกกะตัวเองยังงี้ เลยตัดสินใจ เข้าไปร่วมแจมกะพี่ๆ ที่เขาวิ่งเล่นกันในบอร์ด จนเป็นความอภิมหาโชคดี ที่ได้มีโอกาสรู้จักยอดขุนพลอาจารย์แต่ละท่านด้วยความบังเอิญ... ( หากพี่อ่านอยู่พี่คงคิดว่าก้อยโชคดี แต่พี่โคตรซวย เพราะถูกถามทั้งวัน 5555 )
เคยคิดไหม
อะไรนะ...ที่ทำให้เราพบกับคนเหล่านี้ ทั้งที่อยู่กันไกลแสนไกล
คนบางคน เราอาจเดินสวนกันทุกวัน ไม่มีโอกาสได้คุยกัน
คนบางคน เราไม่เคยเจอกัน แต่มีโอกาสได้คุยกันแทบทุกวัน
บางที... คนที่เรามองหาทั้งชีวิต ก็อาจจะอยู่ในนี้ก็ได้........
สำหรับเราแล้ว...sirendipity ของเรา คือ การได้กลับมาเป็นนักศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์อีกครั้งหลังจากเคยปล่อยให้โชคชะตากำหนดไว้เมื่อ 5 ปีที่แล้วนี่ล่ะ ....
4 Comments:
At 4:12 ก่อนเที่ยง,
ratioscripta said…
นี่แหล่ะชีวิต
ผมเปรียบชีวิตไว้เหมือนการเดินทางไกล แต่ขอตัดตอนเพียงแค่การก้าวออกมาจากรั้วมหาวิทยาลัย ก่อนหน้านั้น มันเป็นเหมือนการเตรียมตัวเพื่อเดินทางไกลมากกว่า หรือไม่ก็เป็นแค่การเดินทางใกล้ๆ นั่งรถโรงเรียนไปเรียน
เมื่อก้าวออกจากรั้วมหาวิทยาลัยแล้ว บางครั้งมันเร็วจนไม่ทันจะคิดว่าจะก้าวไปทางไหน ทุกอย่างสับสนอลหม่าน ใครมุ่งหน้าไปทางไหน ช่วงนั้นก็คงต้องตามๆเค้าไป ... กรูกันไป
หลายคนโชคดี กรูตามกันไป จนถึงฝั่งฝัน นอกจากไม่เหงาแล้ว ไม่ต้องบุกเบิกอะไรใหม่ๆ ไม่ลำบาก เห็นแนวทางอยู่แล้ว
แต่หลายคนไปไม่ถึงครึ่งทางก็รู้แล้วล่ะ ว่าทางที่ตามๆกันมามันไม่ใช่สำหรับตัว
คราวนี้จะทำไง หันหลังกลับ แล้วย้อนหาทางที่ใช่ ซึ่งก็ไม่รู้ว่าจะมีหรือเปล่า...สายไปหรือไม่
หรือจะเลือกเดินไปต่อ ไม่ว่าจะยังไง ก็ไหนๆลงเรือมาแล้ว
ภาษาป้าเบิร์ดเรียกว่า "กลับไม่ได้ ไปไม่ถึง"
ตรงนี้ต้องอาศัยความเด็ดขาด และกล้าหาญอย่างยิ่ง
และเหนือสิ่งอื่นใด ... ความเชื่อ
ทั้งเชื่อมั่นในตัวเอง และเชื่อมั่นในความฝัน
หากคุณเชื่อมั่นแล้ว ผมก็นับถือในความเด็ดขาดและความกล้า และควรต้องรักษาความเชื่อมั่นไว้กับตัวคุณตลอดระยะเวลาอีกหลายปี เพื่อเตรียมตัวบนเส้นทางสายใหม่ ... ซึ่งก็ไม่รู้ว่าจะดีกว่าทางสายเดิมที่คุณละจากมาหรือไม่
ดีกว่าหรือไม่คงไม่สำคัญ
สำคัญกว่าคือ ตอนนี้คุณกำลังได้ทำตามความฝัน...ด้วยความเชื่อมั่น
At 7:28 ก่อนเที่ยง,
ratioscripta said…
สงสัยต้องเรียก กทม มาฉีดยาฆ่ายุงหน่อย
น้ำแถวนี้มันนิ่ง จนยุงไข่แล้ว
ไม่มากวนน้ำมั่งเลยวุ้ย
At 2:20 ก่อนเที่ยง,
ไม่ระบุชื่อ said…
ตามมาจากบล๊อกโน้นนน ค่ะ..
ดีใจที่รู้ว่า มีคน "สะดุด" หนังเรื่องเดี่ยวกัน
เรื่องนี้ไปดูแล้วก็ชอบมาก..แต่ขอค้านว่ามันออกจะ บังอิญ มากเกินไปหน่อย
แต่ยังไงก็ยังชอบ theme ของเรื่องนี้อยู่ดีว่า จริงรึป่าวนะที่เราเป็นคนเลือกทางเดินของเราเอง..แบบว่าเข้าแนวมนุษยนิยมไง แบบว่าคนเรากำหนดเองได้หมด
หรือว่า จริงๆแล้ว ชีวิตมนุษย์นั้นเดินตามกรอบร่างแนวเส้นประที่ขีดเอาไว้คร่าวๆแล้ว ซึ่งชื่อก็บอกว่า เส้นประ เพราะฉะนั้นมันอาจจะลากเป็นรูปร่างอะไรก็ได้ หรือ อาจจะเฉไปหน่อย เบี้ยวไปนิดก็ได้ แต่ยังไงมันก็ยังออกมาเป็นแบบที่มันจะเป็นอยู่ดี
สำหรับ serendipity นั้น แปลว่า การพบเจอสิ่งที่ต้องการโดยบังเอิญ
เลยต้องมีองค์ประกอบคือ "บังเอิญ" และ "เป็นสิ่งที่ต้องการ"
ซึ่งเห็นว่าเป้นองค์ประกอบที่ยากทั้งสองอัน
เพราะเรื่อง "บังเอิญ" จริงๆ ก็มาจากการชักนำอะไรหลายอย่าง เช่น บังเอิญเข้ามาในบล๊อก แล้วบังเอิญ โพสต์กระทู้ไว้ แล้วบังเอิญคุยกันถูกคอ ถ้าจะตีเป็นบังเอิญ..คงใช่หมด..
ส่วน "เป็นสิ่งที่ต้องการ" นั้น ก็ยากอีก เพราะ แน่ใจได้ยังไงว่าต้องการ ถ้าคุณยังไม่เลยลองอย่างอื่น ถ้าลองแล้ว อาจจะไม่ต้องการอันนี้แล้วก็ได้ หรือ ต้องการในช่วงเวลาหนึ่ง แล้วต่อมาไม่ต้องการละ ก็ปรากฎเสมอ..
เลยเป็นคำถามที่ยากเหมืนอกัน ถ้าจะหาคำตอบดีๆ
แต่รู้สึกชื่นชมมากนะคะ สำหรับความมุ่งมั่นและทำอะไรโดยความเชื่อมั่น กล้าหาญดีจัง
แล้วจะติดตามอ่านบล๊อกต่อไป สนุกดี
เป็นอีกคนที่เขียนหนังสือสวย..และน่าสนใจ
At 9:30 ก่อนเที่ยง,
suthita said…
เพิ่งเห็นว่า มีคนมาตอบคอมเม้นให้เราอ่าค่ะ ขอบคุณมากๆ เลย ;)
เราตอบช้าไปป่าวนะ
.................................
ขอบคุณพี่ต้อง (ratioscripta) ที่ให้กำลังใจเสมอมา ก้อยกำลังได้ทำตามความฝัน...ด้วยหวังว่าจะมีความเชื่อมั่น ... นะคะ เห้อ...
คุณ carré de mim
จริงๆ แล้ว...เราไม่ได้เป็นคนมุ่งมั่น หรือกล้าหาญเสียเท่าไรคะ แต่การตัดสินใจครั้งนี้... เราคิดว่า เป็นการเจอสิ่งที่ต้องการโดยบังเอิญจริงๆ แหละ.. ;)
ส่วนจะเป็นสิ่งที่ต้องการจริงไหม คงต้องค่อยๆ ติดตามกันต่อไป ใกล้จะเปิดเทอมละ เดี๋ยวจะมารายงานค่ะ
แต่วันนี้...เป็นวันที่อารมณ์เราไม่ค่อยปกติเท่าไรอาจตอบน้อยและสั้น ... ( ถ้าได้อ่านเรื่องข้างบนคงเข้าใจดี ว่าเพระอะไร) ไว้เข้าสภาวะปกติเราจะมาตอบคอมเม้นต่อนะคะ
ขอบคุณมากค่ะ
แสดงความคิดเห็น
<< Home